-
Category: พระราชประวัติรัชกาลที่ ๑ -๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
-
Published on Monday, 04 April 2016 02:55
-
Written by หอจดหมายเหตุ
-
Hits: 18352
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4
(พ.ศ. 2394-2411)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๔๗ ณ พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี
เมื่อเสด็จพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงเป็นพระราชชนนี
ขณะทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็ตสวรรคต จึงทรงดำรงสมณเพศต่อมาจนตลอดรัชกาลที่ ๓
ในสมัยที่ทรงพระผนวช ทรงศึกษาพระธรรมปริยัติธรรม ทรงเชี่ยวชาญรอบรู้ในพระไตรปิฎก และทรงแก้ไขปรับปรุงวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้เคร่งครัด มีภิกษุสามเณรปฏิบัติตาม เกิดเป็นพระสงฆ์คณะธรรมยุต
นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาศิลปวิทยาการสมัยใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ ดาราศาตร์ เป็นต้น
ทรงรับอัญเชิญจากพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวง ให้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๔
พระบรมราโชบายในการป้องกันอธิปไตยของชาติ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่ประเืทศชาติเริ่มเผชิญกับประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามาแสวงหาอาณานิคม มีอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องทำสัญญา ทางพระราชไมตรีตามเงื่อนไขใหม่ที่ชาติมหาอำนาจเป็นฝ่ายกำหนด
ในพุทธศักราช ๒๓๙๘ ทรงทำสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์กับชาติอังกฤษเป็นชาติแรก รู้จักกันในนาม “สนธิสัญญาเบาริง” หลังจากนั้นได้ทรงดำเนินนโยบายเปิดสัมพั นธภาพกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา โดยใช้สนธิสัญญาเบาริงเป็นต้นแบบ
การทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับชาติต่างๆ เหล่านี้ จำต้องเสียเปรียบทางการค้าและสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่คนในบังคับของชาตินั้นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อแลกกับความอยู่รอดของชาติเป็นสำคัญ
ทรงดำเนินวิเทโศบายทางการทูตสมัยใหม่โดยส่งราชทูตอัญเชิญพระราชสาส์นไปเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๐ และส่งราชทูตไปเฝ้าฯ พระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส เมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๔
การปรับปรุงชาติให้ทันสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงชาติให้ทันสมัย โดยรับศิลปวิทยาการและวัฒนธรรมตะวันตกมาปรับปรุงสังคมวัฒนธรรมตามที่เหมาะสมที่ควร เช่น
การศึกษาภาษาอังกฤษ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ภรรยามิชชันนารีเข้ามาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษแก่กุลสตรีชาววัง เมื่อพระราชโอรส พระราชธิดา ทรงเจริญพ ระชันษา ทรงจ้างนางแอนนา เลียวโนเวนซ์ มาเป็นพระอาจารย์ถวายการสอนภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และวรรณคดี และยังทรงสนับสนุนให้มิชชันนารีอเมริกันตั้งโรงเรียนสอนแก่ราษฎรชาวบ้านด้วย
ทรงแก้ไขธรรมเนียมข้าราชบริพารสวมเสื้อเข้าเฝ้าฯ
ข้าราชบริพารแต่ก่อนเมื่อเข้าเฝ้าฯไม่มีธรรมเนียมสวมเสื้อเข้าเฝ้าฯ ทรงพระราชดำริว่า “ประเทศอื่นๆ ที่เป็นประเทศใหญ่เขาก็สวมเสื้อหมด ทุกภาษา ...ประเทศสยามก็เป็นประเทศใหญ่รู้ขนบธรรมเนียมมากอยู่แล้ว ไม่ควรจะถือเอาอย่างโบราณที่เป็นชาวป่ามาแต่ก่อน ขอท่านทั้งหลายจงสวมเสื้อเข้ามาในที่เฝ้าจงทุกคน...”
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฝึกทหารอย่างยุโรป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริให้ปรับปรุงการทหารโดยทรงเลือกทหารนอกราชการกองทัพเรือ ชื่อ ร้อยเอกอิมเปย์ เข้ารับราชการ “ทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง” หรือ “ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป” เป็นทหารประจำพระองค์ เช่นเดียวกับกองทหารเกณฑ์รักษา พระองค์ในประเทศยุโรป ภายหลังมีกองทหารที่ฝึกหัดและจัดแบบตะวันตกเพิ่มอีกสองกองคือ กองทหารหน้า และกองปืนใหญ่อาสาญวน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนอย่างใหม่
ถนนในพระนครแต่ก่อนมา เมื่อถึงฤดูฝนมักเป็นโคลนสัญจรไปมาไม่สะดวกประจวบกับ “...พวกกงสุลมีหนังสือถวายว่าเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ มหานครไม่มีถนนหนทางที่จะขี่รถขี่ม้าไปเที่ยว พากันเจ็บไข้เนื่องๆ ได้ทรงทราบแล้ว ทรงพระราชดำริว่า พวกยุโรปเข้ามาิอยู่ในกรุงมากขึ้นทุกๆ ปี ด้วยประเทศบ้านเมืองเขามีถนนหนทางก็เรียบรื่นสะอาดไปทุกบ้านทุกเมือง บ้านเมืองของเรามีแต่รกเรี้ยว หนทางก็เป็นตรอกซอกเล็กน้อย หนทางใหญ่ก็เปรอะเปื้อนไม่เป็นที่เจริญตา...” จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างถนนอย่างใหม่ขึ้น ๓ สาย ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ถนนหัวลำโพง และถนนสีลม ภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้่่าฯให้สร้างถนนบำรุงเมือง และถนนเฟื่องนครเพิ่มขึ้น ทำให้ราษฎรสัญจรไปมาสะดวกขึ้น
ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา และทรงอุปถัมภ์ศาสนาอื่นๆที่มีผู้นับ ถือโดยถ้วนหน้ากัน
เมื่อครั้งยังทรงดำรงสมณเพศ ทรงพระราชอุตสาหะศึกษาพระปริยัติธรรม ทรงได้เปรียญ ๕ ประโยค ทรงศึกษาวิปัสสนา ธุระในสำนักวัดสมอราย สำนักวัดพลับ จนทรงเชี่ยวชาญและยังทรงส่งเสริมให้ภิกษุสามเณรได้เล่าเรียนคันถธุระ
นอกจากนี้ ยังทรงพระราชนิพนธ์ด้านพระุพุทธศาสนา เช่น บทสวดทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ ซึ่งภิกษุสา มเณรและพุทธศาสนิกชนใช้สวดมาจนปัจจุบัน
การพระราชกุศลสถาปนาพระอาราม
พระบาทสมเด็จพระจอมเ้กล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯให้สถาปนา และบูรณะพระอารามถวายในพระศาสนาตามโบราณราชประเพณี
พระอารามทรงสถาปนาได้แก่
วัดบรมนิวาศ ทรงสถาปนาแต่เมื่อยังทรงดำรงสมณเพศ
วัดโสมนัสวิหาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอุทิศพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี
วัดปทุมวนาราม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานสมเด็จพระศิรินทราบรมราชินี
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ทรงสถาปนาเป็นพระอารามประจำรัชกาล
วัดมกุฏกษัตริยารามทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นพระอารามประจำพระองค์คู่กับวัดโสมนัสวิหาร และทรงบูรณะวัดในพระนครและหัวเมืองอีก ๔๐ กว่าวัด
พระราชดำริทรงริเริ่มใหม่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่เรียกว่า เป็นสิ่งทรงริเริ่มใหม่ในรัชกาลหลายสิ่ง เช่น
แบบอย่างพระพุทธรูป ทรงสอบสวนใหม่ว่ามิควรมีพระเกตุมาลา คือ พระรัศมี ซึ่งเปล่งอยู่เหนือพระเศียร และยังโปรดฯให้ทำผ้าครองเป็นริ้ วเหมือนการครองผ้าจริงของพระสงฆ์ เป็นแบบอย่างพระพุทธรูปในรัชกาลที่ ๔ สืบมา
แบบอย่างศิลปกรรมวัดหลวงวัดราษฎร์ แต่เดิมเป็นขนบนิยมทางช่างว่า อาคารสถานที่เป็นพระอารามหลวงเท่านั้นที่มีช่อฟ้าใบระกา วัดราษฎร์ทั่วไปมีไม่ได้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ราษฎรเฝ้าฯ รับเสด็จในเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินพระราชกำหนดบทพระอัยการแต่โบราณห้ามราษฎรเยี่ยมหน้าต่างประตูใกล้ทางเสด็จพระราชดำเนิน หากใครฝ่าฝืนจะถูกกระสุนธนู หอกซัดพุ่งใส่ ทรงพระักรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรม ราชานุญาตให้ราษฎรเฝ้าฯรับเสด็จสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนินได้
การเสด็จประพาสหัวเมืองทรงเยี่ยมราษฎร
พระเจ้าแผ่นดินแต่ครั้งโบราณ เสด็จออกนอกพระราชวังเมื่อเสด็จฯไปในการพระราชสงคราม เสด็จไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ พระอารามต่างๆ และเสด็จประพาสต้นสำราญพระราชอิริยาบถ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสหัวเมืองเพื่อทอดพระเนตรชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร เป็นพระราชจริยวัตรเป็นแบบแผนสืบเนื่องต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถในวิชาดาราศาสตร์อย่างยิ่ง ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสุริยปราคาเห็นได้เต็มดวงชัดเจนที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วยความสนพระราชหฤทัย
หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงพระนคร ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑ พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา
จากหนังสือเหนือเกล้าชาวไทย