ฝรั่งเศสมองไทยในสมัยอยุธยา

ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร
 
จากประชุมพงศาวดารและหนังสือต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวการติดต่อระหว่างฝรั่งเศสกับเมืองไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, ทำให้ได้ทราบว่าในสมัยนั้น เมืองไทยมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับฝรั่งเศสมาก, อีกทั้งทำให้ได้เห็นภาพที่มีความชัดเจนพอสมควรของเมืองไทย, คนไทย, สังคมไทย ตลอดจนการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ. สำหรับข้อสังเกตที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นภาพที่ฝรั่งเศสมองไทยทั้งสิ้น ซึ่งไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็ตาม ก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับ เพราะเป็นพยานหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพียงชุดเดียวที่หลงเหลืออยู่. นักศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยาอาจวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นได้ในลักษณะที่เป็น “อาหารสำหรับความคิด”.
 
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระคชาธาร
ก่อนที่ฝรั่งเศสจะมามีสัมพันธไมตรีกับไทยในครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗, เมืองไทยได้มีการติดต่อกับหลายชาติหลายภาษามานานแล้ว. นอกจากกับบ้านเมืองที่มีพรมแดนติดต่อกันอย่าง พม่า, ลาว, เขมร, ญวน และมลายู, ไทยก็มีการติดต่อกับ จีน, เปอร์เซีย, อินเดีย, ชวา และญี่ปุ่น, โดยจีนนั้นอาจจะเป็นประเทศที่ติดต่อค้าขายกันมาเก่าแก่ที่สุด ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๔, ขณะที่ชาติมุสลิมก็มีความสัมพันธ์กันมาช้านาน. สำหรับสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นนั้นได้เริ่มมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๑๗.
 
โปรตุเกสเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๑๖ ทั้งในด้านการทูตและในด้านการศาสนา, จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นได้เห็น “ฝรั่ง” เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำการค้า ตลอดจนมีการเผยแผ่ศาสนาคริสเตียนนิกายคาทอลิกซึ่งสามารถจูงใจให้บรรดาคนจีนที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่แล้ว และคนไทยบางส่วน “เข้ารีต” เป็นคริสเตียน. โปรตุเกสเน้นเรื่องการเผยแผ่ศาสนาเป็นสำคัญ ซึ่งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการมีครอบครัวกับคนพื้นเมือง เพื่อลูกหลานจะได้เกิดมาเป็นผู้ถือศาสนานั้น. ชาวโปรตุเกสและลูกหลานได้ใช้ชีวิตเป็นคนไทย, เข้ารับราชการทหาร และเป็นชาติตะวันตกที่นำอาวุธปืนมาใช้ในการสู้รบในส่วนนี้ของโลก. ญี่ปุ่นก็ทำนองเดียวกับจีนและโปรตุเกส, กล่าวคือ มาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทยและใช้ชีวิตเป็นคนไทย.
 
ในศตวรรษที่ ๑๖  สเปนกับโปรตุเกสเป็นชาติเดินเรือผจญภัยแข่งกันมา, โดยโปรตุเกสมายึดครองมะละกา และสเปนเข้าครองฟิลิปปินส์. สเปนส่งทูตมาเจริญพระราชไมตรีจากมะนิลา ซึ่งทางไทยก็สนองรับด้วยดี, แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสเปนในสมัยนั้นมิได้พัฒนาไปอย่างราบรื่น.
 
ต่อมาในต้นศตวรรษที่ ๑๗ ปลายรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหราราช, ฮอลันดาได้มาตั้งที่ทำการและคลังสินค้าที่เมืองปัตตานี ซึ่งขณะนั้นเป็น “ประเทศราช” ของกรุงศรีอยุธยา และเป็นจุดสำคัญสำหรับการค้าขายกับเมืองจีนของฮอลันดาที่มีสำนักงานใหญ่ของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาอยู่ที่เมืองปัตตาเวียบนเกาะชวา. ฮอลันดาได้เปิดที่ทำการและคลังสินค้าที่อยุธยาในตอนต้นรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ. ในปี พ.ศ. ๒๑๕๐ (ค.ศ. ๑๖๐๗) เมื่อผู้แทนบริษัทฮอลันดาหมดวาระและเดินทางกลับฮอลแลนด์, สมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงขอให้ นายคอร์เนลิส สเป๊กซ์ นำคณะข้าราชการไทยจำนวน ๒๐ นาย ไปดูงานที่ฮอลแลนด์ด้วย, ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ข้าราชการไทยได้เดินทางไปดูงานในยุโรป. คณะข้าราชการไทยได้รับการต้อนรับทั้งจากรัฐบาลดัตช์ที่กรุงเฮก และจากบริษัทดัตช์อินเดียตะวันออกที่กรุงอัมสเตอร์ดัมอย่างยิ่งใหญ่. ในรายงานกราบบังคมทูลสมเด็จพระเอกาทศรถ, คณะข้าราชการไทยให้ความสนใจต่อการต่อเรือที่ได้ไปเห็นมา ซึ่งมีการพัฒนาก้าวหน้ามาก. สมเด็จพระเอกาทศรถทรงขอให้ฮอลันดาจัดส่งช่างต่อเรือและอุปกรณ์ต่างๆ มาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่คนไทยที่กรุงศรีอยุธยา. ในทางกลับกัน, บริษัทของฮอลันดาได้รับอนุมัติให้ค้าข้าวและหนังกวาง ซึ่งเป็นการค้าที่ทำกำไรได้อย่างมาก. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฮอลันดา ทั้งในทางการเมืองและในทางการค้า ดำเนินไปด้วยดีในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ลงมาจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยฮอลันดาได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการเป็นผู้ผูกขาดการค้าหนังกวางและไม้ฝางที่ส่งไปขายญี่ปุ่น.
 

พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔

ภาพพิมพ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามจินตนาการของจิตรกรชาวฝรั่งเศส
 
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้นเอง, ผู้แทนบริษัทดัตช์อินเดียตะวันออกที่ชื่อ ฟาน ฟลีต ที่ไทยรู้จักกันว่า “วันวลิต” ได้เขียนจดหมายเหตุพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจากที่รู้เห็น ๒ เรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยุธยาในสมัยนั้นที่สำคัญ.
 
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งครองราชย์ต่อมาทรงรู้สึกว่าฮอลันดามีอำนาจและพยายามกดดันไทยเพื่อประโยชน์ทางการค้า จนกระทั่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะมีความขัดแย้งกัน. ขณะนั้นทางอังกฤษได้เริ่มเข้ามาติดต่อ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงหวังที่จะให้อังกฤษเข้ามาคานอิทธิพลของฮอลันดา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ. ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีชายหนุ่มเชื้อชาติกรีก-อิตาเลียน ผู้ซึ่งผ่านการศึกษาและประสบการณ์ในอังกฤษเข้ามารับราชการเป็นที่โปรดปราน จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรือง ได้รับตำแหน่งสูงถึงระดับอรรคมหาเสนาบดีเมื่ออายุไม่ถึง ๔๐ ปี.   คอนสแตนติน ฟอลคอน  หรือ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ เป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลความสัมพันธ์กับต่างประเทศ. ทั้งอังกฤษและฮอลันดามีความขัดแย้งกับนายฟอลคอนในเรื่องต่างๆ. ฟอลคอนสามารถกราบทูลโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเห็นชอบที่จะดึงเอาฝรั่งเศสซึ่งค้าขายแข่งขันกับฮอลันดาและอังกฤษมาเป็นพันธมิตร.
 
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเริ่มขึ้นจากการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ซึ่งฝรั่งเศสในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้สนับสนุนให้มีการส่งคณะผู้สอนศาสนาเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชีย, ซึ่งชุดแรกได้มาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๒๐๕ (ค.ศ.๑๖๖๒) ต้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช. “สังฆราช” เอลิโอโปลิสและ “สังฆราช” เดอ บริธ ได้เฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยกราบทูลให้ทรงทราบถึงความรุ่งเรืองของฝรั่งเศสและพระบารมีของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่แผ่คลุมไปทั่วยุโรป. ในเวลานั้นบรรดาผู้นับถือศาสนาคริสเตียนนิกายคาทอลิกจากส่วนต่างๆ ในแหลมสุวรรณภูมิได้มารวมตัวกันในกรุงศรีอยุธยา เมื่อทราบว่ามี “สังฆราช” มาจากยุโรป, ซึ่งเป็นการวางรากฐานของศาสนาดังกล่าวในเมืองไทย.
 

คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือออกญาวิชเยนทร์

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จออกรับราชทูตของพระเจ้าหฃุยส์ที่ ๑๔
 
ภายหลังที่ดำเนินการเผยแผ่ศาสนาคริสเตียนนิกายคาทอลิกเป็นเวลาประมาณ ๑๐ ปี, “สังฆราช” เอลิโอโปลิสสามารถนำศุภสาส์นของสันตะปาปาและพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขึ้นถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, อีกทั้งได้แนะนำ นายแดสลางดส์ ผู้ซึ่งจะมาเปิดที่ทำการของบริษัทในกรุงศรีอยุธยา. สาระสำคัญในศุภสาส์นและพระราชสาส์นดังกล่าวตามที่ “สังฆราช” ได้แปลเป็นภาษาไทยกราบทูลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, นอกจากจะเป็นมธุรสเกี่ยวกับพระราชไมตรีระหว่างกันแล้ว, ก็ยังเป็นการขอให้พระมหากษัตริย์ไทยทรงพิจารณาเปลี่ยนความเชื่อถือมานับถือศาสนาคริสเตียน. การต้อนรับอย่างสมเกียรติของฝ่ายไทยทำให้ “สังฆราชฝรั่งเศส” มีความเข้าใจว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะทรง “เข้ารีต” และได้สื่อความเข้าใจดังกล่าวไปยังปารีสและวาติกัน.
 
การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้มีพระราชสาส์นแสดงไมตรีมาดังกล่าว, กรุงศรีอยุธยาเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเพื่อสร้างพันธมิตรตามนโยบายป้องกันการคุกคามของฮอลันดาที่หวาดเกรงกันอยู่. สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ตกลงพระทัยส่งคณะทูตไทยนำพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔, ประกอบด้วยขุนนาง ๒-๓ นาย และผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง, พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ, เดินทางโดยเรือของฝรั่งเศสชื่อ โซแลย ด’โอเรียงต์ ซึ่งถูกพายุอับปางใกล้มาดากัสการ์ก่อนที่จะลงไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปเข้ามหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อมุ่งสู่ยุโรป.
 
เวลาผ่านไปอีกหลายปี. ในปี พ.ศ. ๒๒๒๕ (ค.ศ. ๑๖๘๒) พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงมอบให้ “สังฆราช” เอลิโอโปลิสซึ่งจะเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาภายหลังที่ได้เดินทางมาถวายรายงานเกี่ยวกับเมืองไทย, นำพระราชสาส์นมาถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียคณะทูตไทยในท้องทะเล. ทางกรุงศรีอยุธยาได้จัดการรับพระราชสาส์นดังกล่าวอย่างมโหฬารเพื่อแสดงความชื่นชมในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔. ในโอกาสนั้น คอนสแตนติน ฟอลคอน ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางพระทัยในตำแหน่งสูงแล้ว, ได้เพ็ดทูลพระมหากษัตริย์ไทยให้ส่งคณะทูตคณะใหม่ไปกรุงปารีส. ทูตไทยคณะนี้ประกอบด้วยขุนนางระดับ “ออกขุน” ๒ คน และผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง โดยมีบาทหลวง เลอ วาเช่ต์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำ. คณะทูตไทยคณะที่ ๒ ออกเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๒๒๖ (ค.ศ. ๑๖๘๓) และถึงกรุงปารีสในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๒๒๗ (ค.ศ. ๑๖๘๔), ได้เข้าเยี่ยมคำนับอรรคมหาเสนาบดี คอลแบร์ท และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ พระราชวังแวร์ซายส์. ในพระสาส์นที่คณะทูตไทยถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ข้อความมีว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่ทรงรังเกียจศาสนาคริสเตียนนิกายคาทอลิก และทรงพร้อมที่จะให้ความอารักขาบรรดาคริสต์ศาสนิกชนให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจอย่างอิสระเสรี โดยปราศจากการกีดกันใดๆ, ขณะที่บาทหลวง เลอ วาเช่ต์ ได้แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส ความว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสเตียน.
 

เชอวาลิเอร์ เดอ ฟอร์แบง

ออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน)
 
บาทหลวงฝรั่งเศสได้พยายามเพ็ดทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงเห็นประโยชน์ที่ฝรั่งเศสจะได้รับจากการที่พระมหากษัตริย์ไทยเปลี่ยนไปเป็นคริสเตียนหลายประการ อาทิ พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจะได้ “บุญ” จากการเผยแผ่ศาสนา, ฝรั่งเศสจะได้ไทยเป็นพันธมิตรในการต่อสู้กับฮอลันดา, และบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสร่วมทุนและสนับสนุน จะได้รับโอกาสและประโยชน์ในการค้าเพิ่มขึ้น. ด้วยการเห็นแก่ประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงจัดส่งคณะทูตเป็นผู้แทนพระองค์ไปกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นทูตฝรั่งเศสคณะแรกที่ส่งไปเมืองไทย. ราชทูตคือ เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์, นายพลเรือที่เป็นผู้ดีมีตระกูล. สำหรับผู้ร่วมคณะก็มี อาทิ เชอวาลิเอร์ เดอ ฟอร์แบง, บาทหลวงทิโมลิออง เดอ ชัวซีย์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยทูต และบาทหลวงกี ตาชารด์. คณะทูตฝรั่งเศสออกเดินทางเมื่อต้นมีนาคม พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. ๑๖๘๕) โดยเรือรบชื่อ “ล”อัวโซ” และ “ลา มาลีญ” ใช้เวลาเดินทาง ๖ เดือน ๒๐ วัน. คณะทูตไทยที่พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลา ๓-๔ เดือน ได้เดินทางกลับเมืองไทยกับคณะทูตฝรั่งเศส.
 
คณะทูตฝรั่งเศสได้เดินทางถึงเมืองไทยปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. ๑๖๘๕) และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากฝ่ายไทยซึ่งมี คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือออกญาวิชเยนทร์ อรรคมหาเสนาบดี เป็นผู้รับผิดชอบในการรับราชทูตและพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ผู้ซึ่งฝ่ายไทยยอมรับว่าเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก และผู้ซึ่งทอดมิตรไมตรีมายังพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา. ในวันที่เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์น เดอ โชมองต์ ซึ่งนั่งเก้าอี้ไม่ห่างจากที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งอยู่บนที่สูง ได้เดินตรงไปยังหน้าพระราชบัลลังก์ แล้วถวายพระราชสาส์นต่อพระมหากษัตริย์ไทย โดยมิได้ชูขึ้น ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชต้องทรงน้อมพระองค์ลงมารับเอง แล้วทรงยกพระราชสาส์นขึ้นจบเหนือเศียรเกล้า. ในระหว่างที่พำนักอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน คณะทูตเดอ โชมองต์ ได้รับเกียรติยศและความสะดวกสบายอย่างเต็มที่.
 
เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ ได้มีโอกาสทำบันทึกทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้ทรงทราบถึงความมุ่งหมายสำคัญของการเป็นราชทูตมาเมืองไทยว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงพระราชดำริว่าการที่จะให้ไมตรีของสองประเทศมีความแนบแน่นชั่วกาลนานนั้น พระมหากษัตริย์ไทยจะต้องถือศาสนาร่วมกับพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส, ดังนั้นจึงวิงวอนขอให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงนับถือศาสนาคริสเตียน. ในอีกประการหนึ่งก็คือ การขอให้ไทยให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสด้วย. อย่างไรก็ตาม เดอ โชมองต์ ก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่า การขอร้องสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้ทรง “เข้ารีต” นั้นคงไม่เป็นผลสำเร็จแน่นอน และแม้ คอนสแตนติน ฟอลคอน ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน.
 
ก่อนที่จะเดินทางกลับฝรั่งเศส เดอ โชมองต์ ได้ลงนามในสนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ๒ ฉบับ โดยเจ้าพระยาวิชเยนทร์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย. สนธิสัญญาฉบับแรกเป็นการให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนกิจการค้าของบริษัทฝรั่งเศส ได้แก่ การอนุญาตให้บริษัทฝรั่งเศสตั้งที่ทำการและคลังสินค้าในเมืองไทย, อนุญาตให้บริษัทฝรั่งเศสทำการค้าได้โดยเสรี และไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร, อนุญาตให้บริษัทฝรั่งเศสซื้อขายสินค้าได้ทุกชนิดที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่จะต้องซื้อจากคลังสินค้าของหลวง, อนุญาตให้ซื้อขายสรรพสินค้าที่มาจากต่างประเทศ โดยจะต้องให้มีการเลือกสินค้าที่ต้องใช้ในราชการเสียก่อน, อนุญาตให้บริษัทบรรทุกสินค้าลงเรือต่างประเทศได้ทุกลำ โดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร, ไทยยกเมืองสงขลาให้แก่ฝรั่งเศสเพื่อทำอะไรได้ตามต้องการ ฯลฯ
 

แผนที่กรุงศรีอยุธยา จากจดหมายเหตุลาลูแบร์
 
สำหรับสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเสรีภาพของการเผยแผ่และสั่งสอนคริสต์ศาสนา ซึ่งมีสาระสำคัญ อาทิ การอนุญาตให้บาทหลวงเทศนาสั่งสอนพระคริสต์ธรรมแก่ราษฎรทั้งปวง โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะขัดขวางมิได้, แต่การเทศนาจะต้องไม่แทรกซึมแนวความคิดใหม่ในจิตใจของราษฎร หรือเป็นปรปักษ์ต่อการปกครองแผ่นดินตลอดจนกฎหมายของบ้านเมือง, อนุญาตให้บาทหลวงรับราษฎรเอาไว้เพื่ออบรมสั่งสอนศิลปวิทยาการในสำนักของตน, อนุญาตให้ราษฎรที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำงานหลวง หรืองานของเจ้าขุนมูลนายในวันอาทิตย์และวันสำคัญทางศาสนา และหากชราภาพ ก็ให้ยกเว้นไม่ต้องทำงานหลวง, ให้แต่งตั้งขุนนางผู้ทรงคุณวุฒิและคุณธรรมทำหน้าที่เป็นตุลาการรับฟังคำร้องและพิจารณาคดีที่เป็นความอยุติธรรม หรือเบียดเบียนข่มเหงราษฎรที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน ฯลฯ.
 
นอกจากนั้นก็ยังมีความตกลงกันในเรื่องอื่นๆ เช่น การขอให้ เชอวาลิเอร์ เดอ ฟอร์แบง อยู่รับราชการในเมืองไทย และการให้ฝรั่งเศสจัดส่งกองทหารมารักษาป้อมที่บางกอก เป็นต้น.
 
ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้โปรดให้จัดทูตไทยอีกคณะหนึ่งอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ โดยมีออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นราชทูต. คณะทูตไทยดังกล่าวได้ร่วมเดินทางไปฝรั่งเศสกับ เดอ โชมองต์. ทูตไทยคณะนี้ได้พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลานานถึง ๖ เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๒๒๙ (ค.ศ. ๑๖๘๖) ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๒๓๐ (ค.ศ. ๑๖๘๗) ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เพื่อถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๙ (ค.ศ. ๑๖๘๖). ออกพระวิสุทธสุนทรและคณะได้เดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับคณะทูตฝรั่งเศสคณะที่ ๒ ซึ่งมี นาย เดอ ลาลูแบร์ เป็นราชทูต.
 
คณะทูตลาลูแบร์ของฝรั่งเศสนั้น นอกจากจะมีนายลาลูแบร์เป็นราชทูตแล้ว ก็มีบุคคลร่วมคณะ อาทิ นายเซเบเรต์ เป็นอุปทูต, นายพล เดส์ฟาร์จ ผู้บังคับบัญชากองทหารฝรั่งเศสจำนวน ๖๐๐ กว่านาย พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์, และบาทหลวงตาชารด์ ผู้ซึ่งเคยมาเมืองไทยกับ เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ และเดินทางกลับฝรั่งเศสแล้วก็กลับมาเมืองไทยเป็นครั้งที่ ๒ กับราชทูตลาลูแบร์. ทูตฝรั่งเศสคณะที่ ๒ นี้เดินทางมาถึงเมืองไทยปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๒๓๐ (ค.ศ. ๑๖๘๗), พำนักอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลา ๓ เดือนเศษ และเดินทางออกจากเมืองไทยเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๑๖๘๘).
 
ในขณะที่คณะทูต เดอ โชมองต์ เน้นภารกิจการหล่านล้อมให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเข้าถือศาสนาคริสเตียน และดูแลให้มีการเผยแผ่สั่งสองพระคริสต์ธรรมโดยเสรี, ตลอดจนการเปิดโอกาสให้กิจการค้าของฝรั่งเศสได้รับความอนุเคราะห์จากราชการไทย, คณะทูต เดอ ลาลูแบร์ มีภารกิจหลักในการให้ฝรั่งเศสได้เข้าไปมีส่วนสำคัญในการบริหารประเทศในด้านต่างๆ. ในการนี้ ฝรั่งเศสได้ คอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นพันธมิตรสำคัญ เพราะฟลอคอนต้องการความสนับสนุนจากฝรั่งเศสให้มีความมั่นคงในตำแหน่ง และได้ปวารณาตัวที่จะเป็น “ข้ารองพระบาท” พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔. ฟอลคอนไม่มีความมั่นใจว่าจะอยู่ในเมืองไทยต่อไปได้ หากไม่มีองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช, และดังนั้นจึงหวังที่จะไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ในฐานะคนสัญชาติฝรั่งเศส. อย่างไรก็ตาม ฟอลคอนจะไม่ยอมรับใช้ผลประโยชน์ของฝรั่งเศส หากมิได้รับผลประโยชน์ส่วนตนอย่างคุ้มค่า. พฤติกรรมที่เฉลียวฉลาดของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ได้ทำให้คณะทูตฝรั่งเศสมีความแตกแยกกัน และปราศจากเอกภาพ.
 

แผนผังป้อมที่บางกอก ฝั่งคลองบางกอกใหญ่เป็นป้อมรูปแปดเหลี่ยม
(ด้านล่าง) ตรงกลางภาพคือแนวโซ่ที่ขึงกลางแม่น้ำ
ภาพนี้ปัจจุบันเก็บรักษาที่หอจดหมายเหตุกระทรวงทหารเรือ ประเทศฝรั่งเศส
 
ในระหว่างที่ราชทูต เดอ ลาลูแบร์ อยู่ในเมืองไทย ๓ เดือน นอกจากจะได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นต่อพระมหากษัตริย์ไทย โดยได้รับเกียรติยศไม่ด้อยกว่าราชทูต เดอ โชมองต์ แล้ว, ฝรั่งเศสยังได้เห็นป้อมที่บางกอกทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกอยู่ในความควบคุมของกองทหารฝรั่งเศสภายใต้ นายพล เดส์ฟาร์จ. ป้อมที่บางกอกนี้ได้รับการออกแบบก่อสร้างโดยวิศวกรฝรั่งเศส เดอ ลามาร์. วิศวกรผู้นี้ได้จัดทำแผนผังสถานที่สำคัญๆ ในเมืองไทยเอาไว้ทั้งหมด. ที่สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ก็คือ เดอ ลาลูแบร์ ได้ใช้ความอุตสาหะวิริยะในการประมวลเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองไทยเอาไว้ทุกแง่มุม, ทั้งที่ได้เห็นมาเอง และได้รับการบอกเล่าจากผู้อื่น. จดหมายของลาลูแบร์ ให้ภาพการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เกือบจะครบถ้วน, ขณะที่บันทึกต่างๆ ของบาทหลวงตาชาร์ดก็สะท้อนสภาวะความสับสนและสถานการณ์ใกล้ล่มสลายของการเมืองและการปกครองระดับสูงในช่วงปีสุดท้ายของรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอันรุ่งโรจน์. ในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๑๖๘๘) นั่นเอง ภายหลังที่คณะทูต เดอ ลาลูแบร์ ออกเดินทางจากเมืองไทยไปแล้ว, ก็ได้ปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ได้แก่ การยึดอำนาจและสืบทอดราชสมบัติของสมเด็จพระเพทราชา, การประหารชีวิตเจ้าพระยาวิชเยนทร์, การขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกไปจากเมืองไทย, และการลิดรอนบทบาทและกิจกรรมของศาสนาคริสเตียน. จากนั้นจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. ๑๗๖๗), การติดต่อสัมพันธ์กับชาติตะวันตกของไทยก็มอดลงเป็นลำดับ, ไม่ว่าจะเป็นในทางการเมือง, เศรษฐกิจ, และสังคม, จนกระทั่งกลับฟื้นขึ้นมาอีกในเวลาเกือบศตวรรษต่อมา.
 
แม้ว่าฝรั่งเศสจะมีการติดต่อใกล้ชิดกับไทยเป็นเวลาประมาณ ๒๕ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๐๕-๓๐ (ค.ศ. ๑๖๖๒-๘๗) เท่านั้น หากหลักฐานและเอกสารที่เป็นประวัติศาสตร์ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็มาจากข้อเขียนต่างๆ ของคนฝรั่งเศสแทบจะทั้งหมด ซึ่งข้อเขียนเหล่านี้ก็มาจากคนฝรั่งเศสบางคนที่ได้มาเยือนเมืองไทยในสมัยนั้น, ทั้งนักการทูต, นักบวชผู้เผยแผ่ศาสนา, และนักธุรกิจ. สำหรับนักธุรกิจที่ได้เขียนแสดงข้อมูลและความคิดเห็นในเรื่องของเมืองไทยเอาไว้มากก็คือ ม.เวเรต์ ผู้ซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส ที่ถูกส่งมาประจำเมืองไทยสมัยที่ เดอ โชมองต์ เดินทางมา และพำนักอยู่ในเมืองไทยตลอดจนกระทั่งคนฝรั่งเศสถูกขับไล่จากราชอาณาจักรรวมเป็นเวลาที่อยู่เมืองไทยประมาณ ๓ ปี.
 

ภาพชาวสยาม จากจดหมายเหตุลาลูแบร์
จากข้อเขียนของชาวฝรั่งเศสต่างๆ ที่กล่าวถึงคนไทยก็พอที่จะบอกได้ว่าคนไทยในสมัยโน้นก็ไม่ค่อยจะต่างไปจากคนไทยสมัยนี้ แม้นเวลาจะห่างกันถึง ๓๕๐ ปี. พูดถึงในด้านสรีระ คือรูปร่างหน้าตา คนไทยสมัยปัจจุบันคงจะได้เปรียบบรรพบุรุษ เพราะได้มีการสมรสข้ามเผ่าพันธุ์กันเป็นปกติมายาวนาน ซึ่งทำให้รูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น. แต่สำหรับอุปนิสัยใจคอนั้นน่าสนใจ. จากสายตาของคนฝรั่งเศส, คนไทยมีความสุภาพเรียบร้อยทั้งกายและวาจา, มีกิริยามารยาทที่งดงาม, มีสติปัญญาแต่ค่อนข้างเกียจคร้านและออกไปในทางไม่ซื่อตรงนัก. คุณสมบัติที่โดดเด่นก็คือ คนไทยรักความสะอาด ทั้งร่างกาย, การกินอยู่, การแต่งกาย, และการพูดจา.
 
ฝรั่งเศสมีความชื่นชมในสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก ทั้งในด้านพระราชจริยวัตร, ในด้านพระปรีชาสามารถ, และในด้านหลักคิดและจิตสำนึก, สมควรต่อการเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่. แต่ในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสตำหนิข้าราชการไทยว่ามักจะเอาประโยชน์ของตัวเป็นใหญ่ และกดขี่ข่มเหงพ่อค้าวานิช.
สำหรับราษฎรนั้นเป็นคนยากจน เพราะมิได้ทำงานเต็มกำลังความสามารถ โดยในปีหนึ่งๆ จะต้องไปทำงานให้แก่พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางเสีย ๖ เดือน, และหากจะผลิตอะไรได้บ้าง ก็ต้องมอบให้เป็นของหลวงเสียส่วนหนึ่ง. ที่สำคัญ ฝรั่งเศสบอกว่าคนไทยขาดความรู้และไม่ขวนขวายในการพัฒนาตนเอง เพราะไม่มีความเดือดร้อนในการครองชีพ, ไม่แสวงหาของคนอื่นเป็นของตน, ไม่อยากรู้อยากเห็น หรือนิยมชมชื่นสิ่งใด, บริโภคแต่น้อย, เครื่องนุ่งห่มก็มีน้อยชิ้น, และไม่นิยมดื่มสุรา. อาชีพหลักของคนไทยก็คือทำนา ทำสวน และหาของป่า. ความรู้ในทางช่างของคนไทยมีจำกัด และไม่แสวงหาด้วย เพราะเกรงว่าจะถูกเกณฑ์ไปทำงานหลวง, แต่หากจะบอกให้ทำสิ่งใดก็สามารถทำได้. คนไทยไม่เล่นกีฬา นอกจากแข่งเรือ.
 
แต่กระนั้นคนฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเมืองไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีความเจริญรุ่งเรือง. วัตถุสิ่งก่อสร้าง, งานศิลปะ, อีกทั้งอุตสาหกรรมครัวเรือนก็มีอยู่โดยทั่วไป. สำหรับการค้าต่างประเทศนั้นค่อนข้างก้าวหน้า โดยมีเรือสินค้านานาชาติแวะเวียนมาซื้อและขายสินค้าที่กรุงศรีอยุธยาอย่างคึกคัก ทั้งสิ้นค้าพื้นเมืองและสินค้าที่มาจากต่างประเทศ. โดยที่การค้าต่างประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของราชสำนัก, ดังนั้น รายได้หลักของพระเจ้าแผ่นดินก็มาจากกิจการค้าต่างประเทศ. ในสมัยนั้น กรุงศรีอยุธยาเนืองแน่นด้วยชาวต่างประเทศ ทั้งที่เดินทางมาค้าขายและที่มาตั้งถิ่นฐานถาวร. สำหรับชาติตะวันตกก็มีฮอลันดา, โปรตุเกส, อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งจะมีที่ทำการบริษัทและคลังสินค้าของแต่ละชาติ. นอกนั้นก็เป็นเพื่อบ้าน, จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย และตะวันออกกลาง. รัฐบาลไทยสมัยนั้นมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและถื่อว่าเป็นแหล่งรายได้ของทางราชการ. นอกจากพ่อค้าวานิชแล้ว ชาวต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งก็คือนักบวชผู้เผยแผ่ศาสนา ตลอดจนวัตถุสถานของศาสนาต่างๆ คือ ศาสนาพุทธ, คริสต์ และศาสนาอิสลาม, ข้าราชการไทยนั้นมีทั้งผู้นับถือพุทธ, คริสต์ และอิสลาม.
 
โครงสร้างการเมืองและการปกครองของเมืองไทยยุคนั้นก็มีความเป็นหลักเป็นฐาน,  มีระบบราชการ, ระบบตุลาการ, ระบบสังคม และระบบเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับบรรดาประเทศต่างๆ. ระบบต่างๆ เหล่านี้, มองจากทัศนะของชาวฝรั่งเศสในสมัยนั้น, ก็เห็นว่ามีความเป็นปึกแผ่นมั่นคง สามารถดูแลให้บ้านเมืองคงอยู่ได้, และในหลายๆ เรื่อง ก็ยังเห็นร่องรอยในสมัยปัจจุบัน.
 
กาลเวลาได้ผ่านไป ๓๕๐ ปี ซึ่งโลกได้เปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรก ประชากรได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว, ขณะที่ในประการที่ ๒ คือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ส่วนในเรื่องอื่นๆ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่มิใช่สาระสำคัญ. การย้อนไปดูบ้านเมืองในอดีต ซึ่งจะเห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง, แม้ว่าจะกระทำอย่างผิวเผิน ก็เป็นควาเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง.
 
ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ หน้า  ๑๒๔-๑๓๕