หลักการและเหตุผล
|
1) จดหมายเหตุ ได้แก่ เอกสารทุกชนิดที่เป็นผลมาจากการทำงานขององค์กรที่ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยกัน เพื่อการอ้างอิงและ การศึกษาค้นคว้า เพื่อให้เข้าใจถึงการทำงาน ความเป็นไปอย่างถูกต้องและเชื่อถือได้ หอจดหมายเหตุ ได้แก่ การจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ และสามารถอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ หอจดหมายเหตุ ุมีระบบการจัดเก็บอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเอกสาร (Provenance) และการจัดเก็บตั้งแต่แรก (Original Order) รวมทั้งขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความสำคัญของเอกสารอีกด้วย โดยทั่ว ๆ ไป หอจดหมายเหตุแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ :
|
1.
|
หอจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ (Historical Archives) ปกติ เอกสารที่มีอายุ 25 ปี ขึ้นไป จะต้องถูกส่ง
|
|
เข้าจัดเก็บในหอจดหมายเหตุประวัติศาสตร์
|
2.
|
หอจดหมายเหตุงานบริหาร (Administrative Archives) เอกสารที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี และเอกสารการบริหารงาน
|
|
ที่ผ่านมา แต่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว (ตามที่จะถูกกำหนดขึ้นโดยองค์กร เช่น 5 ปี หรือ 2 ปี) จะต้องถูกส่งเข้าจัดเก็บใน หอจดหมายเหตุงานบริหารหอจดหมายเหตุชนิดนี้จะใช้งานเฉพาะในการศึกษา อ้างอิงภายในองค์กรเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
|
2) ปัจจุบัน ในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งสมาคมหอจดหมายเหตุแห่งประเทศไทยขึ้นในปี ค.ศ.2001
|
โดยมีอาจารย์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นนายกสมาคม และห้องเอกสารอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯนี้ด้วย สมาชิกของสมาคมฯนี้ประกอบไปด้วยหอจดหมายเหตุและห้องเอกสารขององค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งองค์กรของรัฐบาลและเอกชน ปรากฏการณ์นี้ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และมีประโยชน์มหาศาลสืบต่อไป
|
|
3) ความสำคัญของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯและการจัดเก็บเอกสาร
|
-
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เป็นองค์กรที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และนับได้ว่าเป็นอ้ครสังฆมณฑลที่มีความสำคัญที่สุดในประเทศไทย ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากประวัติความเป็นมาของมิสซังสยามในอดีต นับแต่ปี ค.ศ.1669 จนกระทั่งเป็นต้นกำเนิดของมิสซังต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้หลาย ๆ มิสซัง รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดของสังฆมณฑลต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย นอกจากประวัติความเป็นมาอีกยาวนาน พร้อมด้วยประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าแล้ว อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯยังมีระบบการทำงานและการบริหาร ทั้งระดับฝ่ายและระดับเขตต่าง ๆ ทำให้มีหน่วยงานสังกัดอยู่มากมาย
-
การจัดเก็บเอกสารของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จากประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 350 ปีนี้ ทำให้มิสซังสยามเข้าไปมีส่วนอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยอยู่มิใช่น้อย ทั้งจากบันทึกเก่า ๆ ของเอกสารของบรรดามิชชันนารีที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย การจัดเก็บเอกสารของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง ในปี ค.ศ.1988 แต่ยังมิได้ใช้ชื่อว่า “หอจดหมายเหตุ” ใช้แต่เพียงว่า “ห้องเอกสาร” โดยได้พยายามรวบรวมเอกสารต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วที่สำนักมิสซังฯเก่า คือ ตึกโรงพิมพ์อัสสัมชัญ และสำนักมิสซังฯปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดใหญ่ ๆ ได้แก่ :
|
1. หมวดเอกสาร 2. หมวดรูปภาพ 3. หนังสือ
|
สำหรับหมวดเอกสารนั้น สามารถรวบรวมได้เฉพาะเอกสารที่มีอยู่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น ส่วนเอกสารที่มีอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น ห้องเอกสารมีเฉพาะสำเนาเอกสารจากต้นฉบับที่มีอยู่ที่หอจดหมายเหตุคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส และหอจดหมายเหตุของสมณกระทรวงเผยแผ่ความเชื่อ (Propaganda Fide) อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บเอกสารเป็นการจัดเก็บโดยแบ่งหมวดเอกสารตามสมัยของพระสังฆราชต่าง ๆ จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน (Chronological System)
|
4) ข้อจำกัดของห้องเอกสารอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
|
1. เอกสารที่จะจัดเก็บมีมาก แต่พื้นที่มีน้อยปัจจุบัน นอกจากเอกสารที่จัดเก็บไว้แล้วที่ห้องเอกสาร ยังมีเอกสารที่รอการจัดเก็บอีกจำนวนมาก อยู่ที่ :
|
|
แม้ว่า เอกสารที่มีอยู่ที่สำนักมิสซังฯจะได้รับการจัดเก็บอย่างดี แต่ก็สมควรที่จะได้รับการจัดเก็บตามระบบที่หอจดหมายเหตุ ส่วนเอกสารตามวัดและตามฝ่ายต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมายนั้น ก็ได้รับการจัดเก็บตามสภาพของแต่ละวัดซึ่งแตกต่างกัน ควรที่จะมีระเบียบเพื่อให้จัดเก็บและจัดส่งเอกสารเหล่านั้นมายังหอจดหมายเหตุ
|
ปัจจุบัน ห้องเอกสารไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับเอกสารเหล่านี้ได้หมด จึงยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เพื่อจัดเก็บเอกสารเหล่านี้ หลายครั้งเราต้องสูญเสียเอกสารต่างๆ ไป สืบเนื่องมาจากการทำลาย ทั้งจากธรรมชาติ แมลง และมนุษย์เอง
|
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือเก่า ๆ และหนังสือทางด้านค้นคว้าอีกมากมาย รวมทั้งวัตถุต่าง ๆ ที่มีคุณค่าในการจัดเก็บ ทำให้เนื้อที่ที่มีไม่เพียงพออีกต่อไป ส่วนสำคัญอีก 3 ส่วน ซึ่งห้องเอกสารยังไม่สามารถบริการได้ คือ :
|
|
1. ห้องซ่อมแซมเอกสาร
2. ห้องเก็บของ (Store)
3. ห้องศึกษา ซึ่งควรจะรวมระบบคอมพิวเตอร์และการอ่านไมโครฟิล์ม
4. งานมีมาก แต่คนทำงานมีน้อย
|
|
|
|
ปัจจุบัน มีคุณพ่อ สุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์ และพนักงาน 2 คน รับผิดชอบงานด้านนี้ ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องเข้ารับการอบรมอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส เพระเหตุว่า งานหอจดหมายเหตุเป็นงานที่แตกต่างจากงานด้านประวัติศาสตร์ งานแต่ละด้านก็ไม่เหมือนกัน เช่น งานซ่อมเอกสาร และงานระบบคอมพิวเตอร์ งานหอจดหมายเหตุจึงควรมีการเตรียมบุคลากร และเพิ่มบุคลากรที่มีความสามารถเฉพาะด้าน ข้อจำกัดประการหนึ่งก็คือ งานหอจดหมายเหตุเป็นงานที่ไม่มีรายรับ หรือหากมีก็น้อยมาก เช่น การถ่ายสำเนา งานถ่ายเอกสาร แต่จะเป็นงานที่มีรายจ่ายค่อนข้างมาก มิใช่เฉพาะเงินเดือนพนักงาน แต่อุปกรณ์การจัดเก็บรักษาเอกสาร ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง งานหอจดหมายเหตุจึงเป็นงานรักษาคุณค่า ความสำคัญ รักษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมขององค์กรเป็นสำคัญ
|
ขั้นตอนและระยะเวลาการจัดตั้งหอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
1) ด้านบุคลากร เตรียมให้มีบุคลากรที่มีความสามารถในการทำงานด้านนี้ โดย
|
1.จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อร่วมกันวางแผนในการจัดตั้ง (ภายในเดือนเมษายน 2005) คณะกรรมการนี้ประกอบด้วย
|
|
-
ผู้ที่ทำงานด้านนี้ในปัจจุบัน
-
ผู้ที่ทางอัครสังฆมณฑลฯแต่งตั้ง
-
ผู้ที่มีความสนใจจะเข้ามาช่วยงาน
|
|
2. จัดส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมและฝึกฝนเฉพาะด้าน (ภายในเดือนเมษายน 2005)
|
|
|
|
|
2) ด้านอาคารสถานที่
|
-
ออกแบบรายละเอียดของหอจดหมายเหตุ ให้เห็นถึงจำนวนห้อง และพื้นที่ใช้งาน อุปกรณ์การจัดเก็บ และอุปกรณ์ที่ใช้ และรายละเอียดอื่น ๆ ทั้งหมด เพื่อประกอบการพิจารณา (ภายในเดือนเมษายน 2005)
-
เสนอให้ฝ่ายการเงินและทรัพย์สินพิจารณาอนุมัติอาคาร หรืออนุมัติการก่อสร้างอาคาร (ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้)
|
3) ด้านเอกสาร
|
|
ระเบียบการจัดเอกสาร
|
|
1. การจัดแฟ้มหลักของวัดและหน่วยงาน-ชนิดของแฟ้มหลัก
|
|
|
|
2. วิธีการเข้าแฟ้ม-ตามลำดับเวลา
|
|
-
จากหลังไปหน้า
-
จากหน้าไปหลัง
|
ระเบียบการส่งสาร
|
|
1. การจัดส่งด้วยเอกสาร
|
|
2. อายุของเอกสารที่จะต้องส่ง เช่น 5 ปีขึ้นไป เป็นต้น
|
|
-
การจัดการอบรมเลขานุการของวัดและหน่วยงาน เพื่อทำความเข้าใจระบบหอจดหมายเหตุ และความร่วมมือจากวัดและหน่วยงาน (ภายในเดือนตุลาคม 2005)
-
การจัดทำโครงการ “บันทึกจดหมายเหตุของวัด” และ “การเขียนประวัติวัด” เพื่อให้ทราบถึงหัวข้อในการบันทึก รายละเอียดที่ต้องบันทึก และการเขียน (ภายในเดือนเมษายน 2005)
|
ผู้รับผิดชอบโครงการ
|
|
คุณพ่อ สุรชัย ชุ่มศรีพันธุ์ และคณะกรรมการเฉพาะกิจ
|
งบประมาณ
|
|
ยังไม่สามารถกำหนดงบประมาณได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่ายการเงินและทรัพย์สิน และการอนุมัติของ พระสังฆราชงบประมาณนี้ รวมความถึง
|
|
-
อาคารสถานที่ของหอจดหมายเหตุ
-
เงินเดือนบุคลากร ทั้งที่มีอยู่แล้วและเพิ่มเติม
-
จัดโครงการต่าง ๆ ประกอบโครงการ เช่น :
|
|
-
โครงการจัดอบรม
-
โครงการบันทึกจดหมายเหตุ
|
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
|
|
-
หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จะเป็นหอจดหมายเหตุที่มีความสำคัญที่สุดในการศึกษาประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรไทย และมีความสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไทยในบางด้าน นอกจากนี้ จะเป็นศูนย์รวมเอกสารและหนังสือที่มีค่าต่างๆ ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
-
การบันทึกประวัติของวัดและประวัติขององค์กร ประวัติของพระสงฆ์จะเป็นไปตามหลักวิชาการ และมีความละเอียด มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
-
เป็นแหล่งการศึกษา และค้นคว้าที่มีประสิทธิภาพ
-
เป็นศูนย์ซ่อมแซม และรักษาเอกสารและหนังสือที่มีประสิทธิภาพตามหลักวิชาการ
-
ทุกวัดและหน่วยงานเห็นความสำคัญของการเก็บรักษาเอกสาร
-
หอจดหมายเหตุจะมีส่วนสำคัญในการจัดนิทรรศการ และการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ในโอกาสต่าง ๆ
|
|
|