-
Category: เก็บตก ... คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม
-
Published on Tuesday, 05 April 2016 03:37
-
Written by หอจดหมายเหตุ
-
Hits: 2687
เดือนหก ทางจันทรคติของชุมชนท้องถิ่นพวกหนึ่งในอุษาคเนย์ เริ่มเข้าวันแรกขึ้น 1 ค่ำ เดือนหก ขณะที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยานับ เดือนหก แต่ทางล้านนาและบางท้องถิ่นที่อยู่ตอนบนของภูมิภาค จนถึงทางใต้ของจีน นับเป็น เดือนแปด แล้ว เพราะนับเร็วกว่ากันราว 2 เดือน ตามลักษณะแตกต่างทางภูมิศาสตร์ประเพณีชาวบ้านช่วงเวลานี้สืบเนื่องจากเดือนก่อน (คือ เดือนห้า) เป็นช่วงเวลาหลังฤดูการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วเริ่มเข้าฤดูการผลิตใหม่ เพราะฝนเริ่มตกแล้ว ถึงเวลาต้องเตรียมเครื่องมือทำไร่ ไถนา ที่สำคัญก็คือต้องทำ พิธีแรกนา หรือนาแรก ทางอีสานเรียก นาตาแฮ
ในทวาทศมาส (โคลงดั้น) เอกสารยุคต้นกรุงศรีอยุธยา พรรณนาฤดูเดือนหก (ไพศาขย) เริ่มมีฝนตกแล้วว่า “ฤดูไพศาขยสร้อง ฝนสวรรค์” ต่อจากนี้ไปจะมีพิธีแรกนาขวัญทั่วไปในชนบทหมู่บ้านเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวนาชาวไร่ มีโคลงดั้นบอกว่า “แขไขบ่าวไถนา ถถั่นมานา”
ทวาทศมาส (โคลงดั้น) พรรรณนาว่าแรกนาขวัญในชนบทหมู่บ้านทุกแห่งจะมีธงปักและผูกคันไถปลิวไปตามลมทุกหนทุกแห่ง จนถึงปลายกรุงศรีอยุธยาก็ยังมีพรรณนาแรกนาขวัญไว้ในนิราศธารโศกของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (กุ้ง) แรกนาขวัญ เป็นภาษาของคนในภาคกลางที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตรงกับภาษาของคนบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขงว่า นาตาแฮก (แฮก คือ แรก) หมายถึงการไถนาทำนาปลูกข้าวครั้งแรกในนาจำลองขนาดเล็กๆ ที่สมมุติขึ้น แล้วมีพิธีสู่ขวัญวิงวอนร้องขอต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ (บางทีเรียกผีนา หรือพระภูมินา) จงบันดาลให้ทำนาจริงๆ ได้ผลผลิตเป็นข้าวงอกงามอุดมสมบูรณ์เหมือนนาจำลอง ที่สมมุติขึ้นครั้งแรกนี้ บางแห่งเช่นภาคเหนือจะทำพิธีสังเวยแม่โพสพพร้อมกันไปด้วย
พิธีอย่างนี้มีมาแต่ดั้งเดิมในชุมชนคนดึกดำบรรพ์ราว 3,000 ปีมาแล้ว สมัยก่อนๆ ทุกคนมีอาชีพทำนาต้องทำกันทั่วไปก่อนจะลงมือทำนาจริง ต่อมาเมื่อราชสำนักรับแบบแผนฮินดูจาชมพูทวีป (อินเดีย) จึงปรุงแต่งให้สอดคล้องกับพิธีพราหมณ์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์สูงขึ้น เช่น มีพระโคเสี่ยงทาย มีการเชิญเทวดามาเสกเป่าข้าวเปลือกที่ใช้หว่านในพิธี เมื่อเสร็จงานก็ให้ชาวบ้านแย่งกันเก็บเม็ดข้าวเปลือกไปบูชา และโปรยลงในนาของตนเพื่อให้ได้ผลผลิตเป็นเมล็ดข้าวมากขึ้น และรอดพ้นจากภัยธรรมชาติ ภาษาทางราชการเรียก จรดพระนังคัล เป็นคำเขมร (นังคัล คือ ผาลไถนา) แปลว่า ไถนาครั้งแรก
มีหลักฐานยืนยันในเอกสารเก่าแก่ว่า พระเจ้าแผ่นดินเมื่อราว 700 ปีมาแล้ว มอบให้เจ้านายและขุนนางทำพิธีนี้เพื่อความมั่งคั่งในพืชพันธ์ธัญญาหารของราชอาณาจักร จะละเว้นมิได้ ต้องทำทุกปี จึงมีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ขวัญ มีอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติ
ตัวตนของทุกคนในชุมชน (ยุคก่อนรับศาสนาจากอินเดีย) นานมาแล้วเชื่อว่ามีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นตัวตนได้แก่ ร่างกาย กับส่วนที่ไม่เป็นตัวตนคือ ขวัญ แม้สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติก็มี ขวัญ ทั้งนั้น เช่น ขวัญควาย ขวัญยุ้งข้าว ขวัญนา จึงมีพิธีแรกนาขวัญ
ขวัญต่างจากวิญญาณ (ในคำสอนทางศาสนา) เพราะเมื่อคนตายไปวิญญาณก็ดับหายไป แต่ขวัญไม่หายไปพร้อมเจ้าของที่ตาย ในทางตรงข้าม ขวัญของผู้ตายยังมีอยู่แล้วพยายามหาหนทางกลับเหย้าเรือนเดิมของตน ไม่ว่าเหย้าเรือนเดิมจะอยู่ส่วนไหนของโลก ขวัญมีหน่วยเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่แรกเกิดมาเป็นตัวตนและมีความสำคัญเท่าๆ กันหมด รวมถึงสำคัญเท่ากับร่างกายด้วย เพราะร่างกายต้องมีขวัญ ถ้าไม่มีขวัญก็ไม่มีชีวิต ฉะนั้น ร่างกายที่มีชีวิตต้องมีขวัญ เช่น ขวัญหัว ขวัญตา ขวัญมือ ขวัญแขน ขวัญขา ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้คนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าถ้ามีขวัญอยู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุข แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไปเจ้าของขวัญก็ไม่มีความสุข ไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตายได้ ฉะนั้นเมื่อคนเราเจ้าของขวัญเจ็บป่วย แสดงว่าขวัญไม่ได้อยู่กับตัว มีความจำเป็นต้องจัด พิธีเรียกขวัญ หรือ พิธีสู่ขวัญ ให้กลับเข้าสู่ตัวตนเหมือนเดิม จะได้อยู่ดีมีสุขตามปกติ
พิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญมีชื่อเรียกต่างๆ กันไปตามท้องถิ่น เช่น เรียกขวัญ สู่ขวัญ ทำขวัญ ฯลฯ เป็นพิธีกรรมที่แสดงความผูกพันในระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ระหว่างบุคคลกับครอบครัว และบุคคลกับชุมชน ที่เริ่มขึ้นในสังคมกสิกรรมหรือสังคมชาวนาที่ยังล้าหลังทางเทคโนโลยีเมื่อราว 3,000 ปีมาแล้ว บรรดาเครือญาติจะจัดขึ้น เมื่อเกิดเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งทั้ง เหตุดีและเหตุไม่ดี เช่น ฝันร้าย รวมทั้งได้รับอุบัติเหตุเภทภัยจากสถานการณ์ต่างๆ
ผู้ทำพิธีเกี่ยวกับขวัญด้วยการท่องบ่นคำสู่ขวัญเป็นทำนองอย่างหนึ่งด้วยฉันทลักษณ์ กลอนร่าย เรียก หมอขวัญ เป็นคนเดียวกับ หมอผี-หมอพร เทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญพิเศษในวิชาความรู้เหมือนนักบวชในศาสนาต่างๆ สมัยหลัง โดยใช้เครื่องมือสื่อสารกับขวัญและอำนาจเหนือธรรมชาติคือดนตรี มีฆ้องกับแคนเป็นหลักที่ภายหลังเรียกกลอง-ปี่ หรือปี่-กลองก็ได้ ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติคือนาค เพราะเป็นผู้พิทักษ์มนุษย์และธรรมชาติ จึงเรียกทำนองเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อพิธีกรรมทำขวัญ ว่า นางนาค มีชื่อเป็นเพศหญิง เพราะรากเหง้าเก่าแก่ของสังคมในอุษาคเนย์เรียกผู้หญิงว่า “แม่” หรือ “นาง” หมายถึงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
ในพิธีแรกนาขวัญต้อง ไถนาแรก หรือนาตาแฮก ที่จำลองขึ้นเป็นสมมุติเมื่อผู้นำในพิธีกรรมเริ่มไถนาแรก พนักงานดนตรีปี่พาทย์ต้องเริ่มต้นประโคมด้วย เพลงนางนาค เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ร้องขอความอุดมสมบูรณ์แก่พืชพันธุ์ธัญญาหาร และอาจตามด้วยเพลงที่เป็นสิริมงคลอื่นๆ ต่อไป ให้ยืดยาวได้จนกว่าจะไถนาแรกเสร็จสิ้นตามที่กำหนดไว้.
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2 551 / หน้า 20