คณะผู้แทนของสมเด็จพระนารายณ์ที่ไปยุโรปเมื่อ ค.ศ.1684/พ.ศ. 2227

ข้อมูลจากหนังสือ พระสังฆราชหลุยส์ ลาโน
พระสังฆราชผู้ยิ่งใหญ่ ชาวคริสต์ ผู้มีชัยและเป็นผู้ตื่นรู้ในธรรม
ซิสเตอร์ซีมอนนา สมศรี บุญอรุณรักษา เขียน
 
มิชชันนารีได้ตั้งข้อสังเกตว่า  เวลาเข้าเฝ้า  สมเด็จพระนารายณ์จะทรงชื่นชมพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นอย่างมาก  พระองค์ทอดพระเนตรพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  พระสังฆราชปัลลือนำมาถวายอย่างสนพระทัย  รับสั่งขอมิชชันนารี 2 องค์  จากพระสังฆราชลาโนให้เดินทางไปกับผู้แทนที่พระองค์จะทรงส่งไป  พระสังฆราชลาโน  ได้เขียนถึงผู้บริหารบ้านเณรที่กรุงปารีสว่า “พระองค์รับสั่งขอพระสงฆ์สององค์เพื่อเป็นผู้นำจดหมายเหล่านี้ไป  แม้ว่าการขอของพระองค์จะทำความลำบากให้เรา  แต่เราก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาปฏิเสธได้  เพราะเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องตอบแทนพระเมตตาและพระทัยดีที่ทรงมีต่อพวกเราเสมอมา”  พระคุณเจ้าจึงส่งคุณพ่อวาเชต์ และคุณพ่อปัสโกไปกับผู้แทนของสมเด็จพระนารายณ์  โดยให้เหตุผลว่าที่ส่งคุณพ่อวาเชต์ไปก็เพื่อจะได้ไปรักษาโรคนิ่ว  ส่วนคุณพ่อปัสโกเป็นคนสุขภาพแข็งแรงจะได้ไม่เป็นปัญหาในการเดินทาง
 
หลังจากที่ส่งคุณพ่อทั้งสองไปแล้ว  พระสังฆราชลาโนไม่ต้องการให้มิชชันนารีทั้งสององค์นี้เดิทางกลับมาที่ประเทศสยามอีก  เพราะคุณพ่อปัสโกไม่สามารถปรับตัวได้  นอกนั้น  คุณพ่อยังทำตัวไม่เหมาะสม  ส่วนคุณพ่อวาเชต์เป็นคนที่ไม่มีความแน่นอน  และยังติดสุราอีกด้วย ก่อนออกเดินทางพระคุณเจ้าได้ให้ระเบียบที่คุณพ่อทั้งสององค์จะต้องปฏิบัติ  ในระหว่างเดินทาง การพักอยู่ที่กรุงลอนดอนและที่ประเทศฝรั่งเศส
 
ผู้แทนทั้งสองที่ถูกส่งไปไม่ถือว่าเป็นทูต  เพราะสมเด็จพระนารายณ์ไม่ได้มีพระราชสาส์นไปถึงพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส  ขุนนางทั้งสองคนนี้คือ  ออกขุนพิชัยวาลิต  และขุนพิชิตไมตรี  คนหนึ่งจากกรมอาสาจาม  อีกคนหนึ่งจากกรมท่า  ในการเดินทางครั้งนี้สมเด็จพระนารายณ์ทรงส่งเด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งไปศึกษาด้านศิลปะที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย
 
นอกจากเหตุผลที่ส่งขุนนางทั้งสองคนนี้ให้ถือจดหมายไปมอบให้แก่เมอซิเออกอลแบรต์ และเมอซิเออเดอ ครัวซี แล้ว สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์ให้ไปหาข่าวคราวเกี่ยวกับคณะทูตชุดแรกด้วย คณะของขุนนางที่ส่งไปนี้ออกเดินทางวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1684/พ.ศ.2227 โดยเรือของอังกฤษ  พวกเขาไปขึ้นบกที่กรุงลอนดอน  เมอซิเออบาริย็อง  ทูตฝรั่งเศสประจำประเทศอังกฤษได้แนะนำคุณพ่อวาเวต์กับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2  เพราะสมเด็จพระนารายณ์ทรงฝากฝังเป็นพิเศษ  เพื่อขอยกเว้นการเสียภาษีสำหรับของขวัญที่จะนำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  หลังจากที่ได้พักอยู่ที่อังกฤษชั่วคราวแล้ว  พระเจ้าชาร์ลส์ทรงให้เรือ “ชาร์ล็อต”  เรือยอร์ชส่วนพระองค์ไปส่งคณะผู้แทนชาวสยามที่เมืองกาแล  ประเทศฝรั่งเศส
 
ที่เมืองกาแล  คณะผู้แทนได้รับการต้อนรับจากเมอซิเออเลอ ดุ๊ก เดอ ชารอสท์  หัวหน้ามหาดเล็กรักษาพระองค์ของพระเจ้าหลุยส์  และเมอซิเออเลอ ดุ๊ก เดลเบอ  เจ้าเมืองกาแล  จากนั้นคณะผู้แทนได้ไปที่เมืองโบมองต์  คุณพ่อเดอ บริสาซีเยร์  อธิการบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศรออยู่ที่นั่น  จากที่นี่คณะได้เดินทางต่อไปที่แซงต์เดอนีส์และกรุงปารีส  ตลอดทุดถนนที่เดินทางผ่าน ชาวบ้านต่างพูดว่า “พวกเขาคือทูตของพระเจ้ากรุงสยาม”
 
เมื่อมาถึงกรุงปารีส  คุณพ่อวาเชต์ถูกเรียกให้เข้าพบเมอซิเออเลอ มาควิส เดอ แซเยอเล  โดยมีลับเอเดอ ชัวซี เป็นคนพาไปพบ ท่านมาควิสได้สอบถามว่า  ทำไมพระเจ้าแผ่นดินสยามจึงส่งพวกเขามา  คุณพ่อวาเชต์ให้เหตุผลทั้งหมด 3 ประการ  ประการแรกเพื่อมาหาข่าวเกี่ยวกับคณะทูตชุดแรก  ประการที่สองเพื่อมาแสดงความยินดีกับการประสูติของดุ๊กเดอ บูร์กอน  และประการสุดท้าย พระเจ้าแผ่นดินสยามทรงปรารถนาจะแสดงความยินดีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  สำหรับชัยชนะที่ได้รับ  และเพื่อขอเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพระองค์
 
พระสังฆราชลาโนได้เป็นพยานว่า  สมเด็จพระนารายณืทรงยินดีเกี่ยวกับการประสูติของดุ๊กเดอ บรูร์กอน  พระราชนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  พระคุณเจ้าเขียนในจดหมายฉบับหนึ่งว่า  “หลังจากที่ได้ทรงรับทราบเรื่องการประสูติมองแซนเยอร์เลอ ดุ๊ก เดอ บูร์กอน  พระองค์ทรงแสดงพระทัยยินดี และภาวนาขอพระเป็นเจ้าโปรดประทานพระพรแก่ราชวงศ์ฝรั่งเศสให้มั่งคั่งทุกประการ”
 
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดเกล้าให้คณะผู้แทนของสมเด็จพระนารายณ์เข้าเฝ้าที่พระราชวังแวร์ซายส์วันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ.1684/พ.ศ.2227  ในห้องกระจกที่เพิ่งสร้างเสร็จในปีนั้น  มิชชันนารีฝรั่งเศสได้บันทึกไว้ว่า  การเข้าเฝ้าหรือการเข้าพบบุคคลต่างๆ ขุนนางแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยเหมือนเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวที่ประเทศสยาม  พวกเขาสวมลอมพอกทุกครั้ง  ในการเข้าเฝ้าวันนั้น คุณพ่อวาเชต์ได้กราบทูลพระเจ้าหลุยส์ว่า 
 
“ฝ่าพระบาท
ชาวสยามที่พระองค์ทรงเห็นอยู่ในขณะนี้  พระเจ้ากรุงสยามได้ทรงส่งให้มาขอร้องท่านรัฐมนตรีให้ช่วยกราบทูลในสิ่งที่พระเจ้ากรุงสยามทรงหวังในพระทัยยิ่งนัก  ขุนนางเหล่านี้ได้เข้าชี้แจงกับเมอซิเออเดอ  แซเยอเล  และเมอซิเออเดอ  ครัวซี  แล้ว  พวกเขาหวังว่ารัฐมนตรีทั้งสองจะนำความขึ้นกราบทูลฝ่าพระบาท  พวกเขามีความปีติยินดีที่ได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าเพื่อถวายบังคม” 
 
พระเจ้าหลุยส์ได้มีพระราชดำรัสตอบก่อนจะไปร่วมพิธีมหาบูชามิสซาว่า  “จงยืนยันกับขุนนางเหล่านี้ว่าเรารู้สึกปลาบปลื้มที่ได้พบพวกเขา  เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะทำในสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินสยาม  พระอนุชาของเรา  มีพระราชประสงค์จากตัวเรา” 
 
วันที่ 6 มกราคม ค.ศ.1685/พ.ศ.2228  วันฉลองพระคริสต์แสดงองค์  หรือบางครั้งเรียกว่าวันฉลองพญาสามองค์  ขุนนางผู้แทนจากประเทศสยามได้ไปร่วมพิธีมหาบูชามิสซาในวัดน้อยของบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศ  เพราะเป็นวันฉลององค์อุปถัมภ์ของบ้านเณรและวัดน้อยแห่งนี้ หลังมิสซาพวกเขาได้ร่วมรับประทานอาหารกับผู้ทรงเกียรติที่มาร่วมงานหลายคน  เช่น เมอซิเออเดอ โวม็องต์  เมอซิเออเดอ ฟรงเตอนัค  เมอซิเออเดอ ชาวิยี  เมอซิเออเดอ ชารอสท์  เมอซิเออปัลลือ ดือ รือโอ  และพระสงฆ์นักบวชเชื้อสายขุนนางที่เป็นเพื่อนกับบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศอีกจำนวนมาก
 
ขุนนางสยามได้รับของขวัญจำนวนมากจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  เพื่อนำกลับไปถวายสมเด็จพระนารายณ์และสำหรับตัวเอง  แต่ช่วงที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส  พวกเขาได้สร้างปัญหาหลายอย่าง เขาไม่พบอะไรที่ถูกใจเลย  ไม่ยอมไปร่วมรับประทานอาหารที่จัดไว้ต้อนรับ  โดยคนหนึ่งอ้างว่าปวดหัว  อีกคนหนึ่งปวดท้อง  และไม่ยอมออกจากห้องพักของตัวเอง
 
พระเจ้าหลุยส์มีพระราชประสงค์ให้พาพวกเขาไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ แต่เขากลับอยากนอนมากกว่าไปดูปราสาทราชวัง  คุณพ่อวาเชต์ทนไม่ได้ถึงกับกล่าวว่า “พอแล้ว  กลับกันดีกว่า”  เขาก่อเรื่องหลายอย่างจนคุณพ่อวาเชต์รู้สึกไม่พอใจและบอกกับเขาว่า  เมื่อกลับไปถึงประเทศสยามแล้วจะกราบทูลสมเด็จพระนารายณ์ แต่พวกเขากลับสั่นหัวและตอบว่า “พระองค์จะทรงทำอะไรได้  โทษหนักสุดคือสั่งประหารชีวิต  ชีวิตของพวกเรามีค่าน้อยกว่าเกียรติยศ”
 
หลังจากกลับมาถึงประเทศสยามแล้ว  พระสังฆราชลาโนได้รับรายงานเรื่องการต้อนรับของพระเจ้าหลุยส์ที่ทรงมีต่อมิชชันนารีและขุนนางที่ถูกส่งไป  พระคุณเจ้าเขียนจดหมายไปกราบทูลเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสว่า “การที่ฝ่าพระบาทพอพระราชหฤทัยต้อนรับพวกเราที่เดินทางกลับมาที่ยุโรป  ทำให้ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกไม่ขัดเขินที่จะกราบทูลขออย่างสุภาพว่า  ขอโปรดสนับสนุนเกื้อกูล  มิสซังเหล่านี้ด้วย”