บทที่ ๒
เรื่องการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธตั้งแต่ปารีสจนถึงเมืองฮิสปาฮาม
หลังจากได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชและเข้าเงียบเป็นเวลา ๘ วันแล้ว พระสังฆราชแห่งเบริธก็คิดถึงแต่การเดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศส และเชื่อว่าท่านต้องรับผิดชอบต่อพระเป็นเจ้าในทุกขณะที่หน่วงเหนี่ยวการไปยังสถานที่ประกาศศาสนาของท่าน อันประกอบด้วย อาณาจักรโคจินจีน หัวเมืองต่างๆ ของแหลมจำปาและเขมร ๓ หัวเมืองทางใต้ของประเทศจีน เกาะไหลหลำและอื่นๆ อีก ท่านได้ออกเดินทางอย่างเงียบๆ โดยไม่บอกให้ใครทราบเลย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างท่านกับบรรดาคนใกล้ชิดและเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ของท่านซึ่งไม่ยินยอมให้ท่านละทิ้งประเทศฝรั่งเศสไป ด้วยเหตุนี้จากลักษณะภายนอกที่ดูไร้มารยาท แต่แท้จริงเต็มไปด้วยศรัทธา พวกเขาจึงรู้สึกเสียใยที่ไม่อาจยับยั้งการตกลงใจของพระสังฆราชในครั้งนี้ได้อันเนื่องจากภาระหน้าที่ที่มีต่อพระเป็นเจ้า และการเชื่อฟังพระศาสนจักรที่ต้องการส่งท่านไปยังประเทศจีน
เป็นความจริงที่ว่าเรารู้สึกลำบากใจที่จะทำให้ตนเองเชื่อว่าคนๆ หนึ่งที่มีหน้าที่การงานมากมายอยู่ในฝรั่งเศส และเป็นที่ยกย่องในเรื่องความสามารถ และประสบการณ์จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยขาดความรอบคอบในเมื่อเขากล้าละทิ้งผลประโยชน์ทั้งหมด เพื่อไปสูญสิ้นทุกๆ สิ่งในถิ่นที่ห่างไกลจากประเทศของตนถึง ๔ หรือ ๕ พันลิเยอ ในท่ามกลางคนต่างศาสนา และไปทุ่มเทตัวเองให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ของชีวิตที่ต้องเผชิญกับภยันตรายนานัปการ โดยมิหวังสิ่งอื่นใดนอกจากการทนทุกข์ทรมานเพื่อพระเป็นเจ้า
พระสังฆราชแห่งเบริธไม่คิดเลยว่าจะต้องการโต้แย้งกับคนของท่านเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ท่านได้ให้บทเรียนที่ดีแก่ผู้ที่เสนอตนติดตามเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตนระหว่างการเดินทาง
ท่านออกจากปารีสวันที่ ๑๘ กรกฎาคม โดยมีบาทหลวงในปกครององค์หนึ่งและคนรับใช้อีกคนหนึ่งติดตามไป จากประสบการณ์เราก็รู้ว่าถ้าคนใช้ที่นำมาจากฝรั่งเศสไม่มีคุณธรรมดีพอจะทำให้หนักใจมากกว่าจะผ่อนภาระให้ ทันทีที่มาถึงเมืองลิยอง พระสังฆราชก็ล้มป่วยทำให้ต้องนอนซมอยู่ในเตียงถึง ๕๒ วัน และอาการป่วยถึงขั้นหนักมากเนื่องจากพระสังฆราชไม่รู้สึกตัวเลยเป็นเวลา ๒ วัน แต่พระเป็นเจ้าทรงให้ข้อพิสูจน์แก่ท่านสังฆราชว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ประทานความตายและนำชีวิตกลับคืนมาให้ เพราะหลังจากที่ทุกคนเริ่มรู้สึกหมดหวังและคอยเวลาที่ท่านสังฆราชจะไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า อาการป่วยของท่านก็หายเป็นปลิดทิ้งไปทันทีทันใดโดยไม่มีอาการเจ็บปวดอย่างใดอีก นอกจากอ่อนเพลียมากเท่านั้น นัยว่าท่านสามารถพูดกับอัครสาวกของพระเยซูเจ้าได้ว่า เกือบจะตายแล้วและเดี๋ยวนี้ก็กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ตอนสุดท้ายที่อาการเริ่มดีขึ้นนี้เอง ทำให้พระสังฆราชเชื่อว่าเมื่อเราอุทิศตนเป็นผู้มีหน้าที่เผยแพร่ศาสนาก็ต้องถวายตัวให้กับพระเป็นเจ้าอย่างไม่รู้จบสิ้น นายแพทย์ผู้รักษาก็รู้สึกประหลาดใจมากกับการหายป่วยครั้งนี้ จนแทบไม่เชื่อด้วยสายตาตนเอง และไม่สงสัยเลยว่านั่นเป็นผลจากความช่วยเหลือที่วิเศษสุดจากเบื้องบนมากกว่าจะมาจากยาของฝ่ายแพทย์ พระสังฆราชแห่งเบริธได้รับศีลเสบียงและศีลทาสุดท้าย แล้วด้วยซ้ำ โดยไม่ทำตนให้เอิกเกริก และขอให้ฝังพระสังฆราชไว้กับคนยากจนของโรงพยาบาลโดยที่ราไม่ต้องลำบากแสดงความเคารพใดๆทั้งสิ้น
พระสังฆราชแห่งเบริธออกจากเมืองลิยองโดยไม่คอยให้มีพละกำลังดีก่อน ทันทีที่ทรงตัวได้ท่านก็ลงเรือที่แม่น้ำโรน แต่เนื่องจากยังอ่อนเพลียมากจึงใช้คานหามท่านไปเมืองมาร์เซย ที่นั่นพระสงฆ์ในปกครองที่เป็นชาวเมืองตูลององค์หนึ่ง ซึ่งพระสังฆราชแปงเกร่แห่งตูลองรักมาก จะมาสมทบกับท่าน พระสังฆราชแปงเกร่เสนอให้ท่านสังฆราชแห่งเบริธพักที่สังฆมณฑลของท่าน และเมื่อจวนจะออกเดินทางอันยาวนานครั้งนั้น จากลักษณะภูมิประเทศที่น่าอยู่ ความคาดหมายในผลประโยชน์และหน้าที่การงาน การว่ากล่าวตักเตือนของพระสังฆราชแปงเกร่ และการเล็งเห็นความยากลำบากในการปฏิบัติภารกิจล้วนเป็นสิ่งที่มีผลกการตัดสินใจของพระสงฆ์ในปกครององค์นี้อย่างแน่นอน หากรากฐานการตัดสินใจนี้มิได้มาจากพระเป็นเจ้า ท่านจึงเพียงแต่ตอบคำวิงวอนของพระสังฆราชแปงเกร่ว่าจะยอมเชื่อฟังหากท่านสังฆราชสั่งให้ยุติการเดินทางร่วมกับพระสังฆราชแห่งเบริธครั้งนี้ แต่ท่านสังฆราชแปงเกร่เป็นผู้มีความสุขุมรอบคอบและมีคุณธรรม นอกจากท่านจะยกย่องภารกิจนี้แล้วยังไม่ต้องการใช้อำนาจข่มขู่เลยด้วย
เมื่อเวลาและโอกาสเอื้อยอำนวยต่อการเดินเรือ ท่านสังฆราชแห่งเบริธและบรรดาบาทหลวงในปกครอง ก็ออกจากท่าเรือเมืองมาร์เซยเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๑๖๖๐ ในตอนแรกนับแต่เรือแล่นออกสู่ทะเลเราก็ถูกพายุใหญ่กระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่เคยชินกับสภาพเรือที่โคลงเคลงและเมื่ออันตรายมาถึงขีดสุดกัปตันเรือก็ไม่อำพรางความตื่นกลัวของตนเลย หากไม่ชะลอเรือคอยอยู่ชั่วคืนหนึ่งแล้ว เรือคงจะออกไปกระแทกกับทะเลที่เกาะซาร์แดนและอัปปางลงที่นั่นอย่างแน่นอน โดยไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย แต่พระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายครั้งแรกนี้ และทำให้เราได้เดินทางต่อไปจนถึงเกาะมอลต้าในวันที่ ๒๓ ธันวาคม เมื่อบาทหลวงอธิการของคณะเยซูอิตทราบข่าวการมาของพระสังฆราชแห่งเบริธและคณะ ก็ได้ส่งบาทหลวงเยซูอิตชาวฝรั่งเศสองค์หนึ่งไปคอยต้อนรับตรงทางที่เรือออก และนำทุกคนมายังที่พัก พระสังฆราชแห่งเบริธยอมรับความมีอัธยาศัยที่ดีนั้น และพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๑๘ วัน โดยตลอดเวลาพระสังฆราชได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชคณะเยซูอิตที่ปฏิบัติต่อพระสังฆราชและคณะด้วยเมตตาจิตตามธรรมเนียม ระหว่างนั้นเราได้ไปเยี่ยมชมถ้ำ และอาสนวิหารคาทอลิกที่มีผู้สร้างอุทิศให้แก่นักบุญเซนต์ปอล ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองมอลต้าไป ๒ ลิเยอ
เมื่อทราบข่าวการมาของพระสังฆราชแห่งเบริธ พระสังฆราชแห่งมอลต้าก็ส่งคำสรรเสริญมาทันที และเสนอทุกสิ่งที่สามารถจัดหา และอยู่ในอำนาจของท่านให้ด้วยความเคารพนบนอบ ท่านได้มาเยี่ยมพระสังฆราชแห่งเบริธด้วยตนเอง และขอให้ท่านทำพิธีอภิเษกบาทหลวง ๗๐ องค์ด้วย ส่วนพระสังฆราชแห่งเบริธ ก็แสดงความเคารพตอบเช่นกัน หลังจากไปเยี่ยมเยียนและอำลาเจ้าของบ้านที่ใจบุญแล้ว พระสังฆราชและคณะก็เดินทางออกจากเกาะมอลต้าในวันเซนต์โทมัส แต่เนื่องจากกระแสลมพัดทวนทำให้ออกเรือไม่ได้ เจ้าผู้ครองเกาะมอลต้าจึงให้เกียรติแก่พระสังฆราชเช่นเดียวกันโดยจัดส่งเรือเล็ก ๒ ลำมาเพื่อลากจูงเรือที่เราโดยสาร และมีการยิงปืนใหญ่สลุตให้ด้วย เรือของเรามาทอดสมอที่นาเกลือของเกาะชีพ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม เราได้ทราบจากนักบวชคณะนักบุญฟรังซัวซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นว่าเกาะนี้มีพระอัครสังฆราชและพระสังฆราช ๓ องค์ประจำอยู่ ซึ่งพระสังฆราช ๒ ใน ๓ องค์ยอมรับในองค์สมเด็จพระสันตะปาปาของเรา และชาวเกาะชีพรู้สึกระอาใจที่ตกอยู่ในสภาพความไม่รู้อย่างที่สุด และหวาดกลัวระบอบทรราชที่กดขี่ตนอยู่ เราออกจากเกาะชีพ วันที่ ๕ มกราคม ค.ศ. ๑๖๖๑ และมาถึงเมืองอเล็กซองแดรตวันที่ ๑๑ เดือนเดียวกัน มีผู้แนะนำว่าอากาศที่นี่เลวร้ายมากเนื่องจากมีหนองบึงอยู่โดยรอบ ผู้ที่จำเป็นต้องแวะที่นี่สมควรพักอยู่ในเรือดีกว่า และรอจนกว่าจะมีโอกาสเดินทางต่อไปยังเมืองอาเลปได้ ที่เมืองอเล็กซองแดรตมีโบสถ์อยู่หนึ่งหลังโดยมีบาทหลวงจากประเทศปาเลสไตน์ และผู้ช่วยกงสุลชาวฝรั่งเศสประจำอยู่ จากเมืองอเล็กซองแดรต เราก็เดินทางไปที่ไบลาน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง ๔ ลิเยอ วันที่ ๒๑ มกราคม เรามาถึงเมืองอองติยอชที่ซึ่งมีชาวคริสต์ที่แยกไปถือนิกายอื่นอาศัยอยู่มากมาย เมืองนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำโอรองต์ห่างจากทะเลประมาณ ๖ ลิเยอ
เราทราบมาว่าโบสถ์ที่อยู่ในเมืองอองติยอชนี้ เดิมเคยเป็นที่แห่งแรกที่นักบุญปิแยร์ไปประจำอยู่ปัจจุบันเป็นสุเหร่าของชาวมุสลิม การได้เห็นการกระทำทุราจารของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ทำให้เรารู้สึกเศร้าสลดใจ ตลอดเวลาที่เดินอยู่ในประเทศตุรกี สิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดไม่รู้จบสิ้นก็คือการได้เห็นลัทธิมุสลิมเข้ามารุกราน และครอบครองสถานที่อันสวยงามของพระเยซูเจ้า และทำให้ชาวคริสต์เสียประโยชน์ เราแทบกลั้นน้ำตาและคร่ำครวญไม่ได้เมื่อได้เห็นภาพน่าเศร้าเหล่านั้น เราทุกคนต่างถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าเพื่อสนองตอบความยุติธรรม และทนแทนที่พระศาสนาของพระองค์ต้องถูกหมิ่นประมาทและเสื่อมเสียโดยการกระทำทุราจารของลัทธิที่ไม่รู้บาปบุญ นับแต่นี้ไปเราจึงต้องยอมสู้ทนกับความทะนงตน และการดูหมิ่นเหยียดหยามของลัทธินั้น
เราออกจากเมืองอองติยอช และหลังจากเดินเท้ามาตลอดทั้งวัน โดยไม่ได้หยุดพักเพราะคิดว่าใกล้ถึงที่พักแล้ว เนื่องจากสังเกตเห็นแสงไปจากเปลวเทียนในหมู่บ้านที่เราต้องไปค้างคืนอยู่แต่ไกล ทหารของสุลต่านเป็นผู้นำเราออกห่างจากเส้นทางนั้นจะด้วยความไม่รู้ หรือมุ่งร้ายก็ไม่อาจทราบได้ และนำเราเดินอยู่ในความมืดอยู่เป็นเวลานานโดยที่ไม่รู้ว่าเราเดินอยู่ที่ไหน เราต้องตั้งค่ายพักแรมอยู่กลางทุ่งนาที่เปลี่ยวมาก พวกที่มีเชาวน์ปัญญาเริ่มสงสัยว่าผู้นำทางคนนี้ อาจสมรู้ร่วมคิดกับชาวตุรกีและนัดแนะให้มาประทุษร้ายเรา ด้วยเหตุนี้ เราเห็นพ้องกันว่าสมควรที่จะให้เขาออกจากการเป็นผู้นำทาง เราจึงตัดสินใจปล่อยเขาไว้แม้จะเป็นการเสี่ยงกับการหลงทางก็ตามแต่เราก็รู้สึกปลอดภัยที่สุด เมื่อสามารถไปถึงที่แห่งแรกที่เราพบ เรายังคงเดินทางต่อไปตราบเท่าที่ม้าจะบรรทุกเราไปได้ ต่อเมื่อม้าเริ่มอ่อนกำลังลงไปไม่ไหวเราจึงหยุดพักบนเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอากาศหนาวเย็นมาก เราห้ามทหารของสุลต่านจุดไฟเพราะจะเป็นหนทางให้ขโมย หรือผู้ที่ต้องการปองร้ายพบเราได้ เรายังคงพักอยู่บนเนินเขาโดยผลัดกันเปลี่ยนกันเฝ้ายามตลอดทั้งคืน นี่คือวิธีการที่เราใช้ในการพักแรมในดินแดนแห่งนี้ อาหารเย็นของเราไม่ดีนักเนื่องจากไม่มีแต่น้ำสักหยดที่จะทำให้ร่างกายชุ่มชื้นขึ้นจากความเหนื่อยอ่อนมาตลอด ๑ วันและ ๑ คืนเต็ม เราเดินทางต่อไปทันทีที่ดวงจันทร์ส่องสว่างให้เห็นหนทางได้อย่างรางๆ เรามาถึงเมืองอองซาร์ตอนเที่ยง และพักผ่อนอยู่ที่นี่จนถึงวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เดินทางลงมาที่เมืองอาเลปในวันฉลองนักบุญเซนต์ปอลกลับใจเปลี่ยนศาสนา เราตรงไปยังบริษัทของชาวฝรั่งเศสที่เคยพักอยู่กับเราที่บ้านกงศุลซึ่งในขณะนั้นคือพระสังฆราชปิเกต์ งานของสถานกงสุลแห่งนี้เป็นที่ชื่นชมกันมากเนื่องจากตัวกงสุลเองปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม เรายืนยันในเกียรติคุณนี้ว่าชื่อเสียงของเขาเป็นที่ยอมรับไม่เพียงแต่ในหมู่ชาวคริสต์ที่เขาดูแลอยู่ทั่วทั้งประเทศนี้เท่านั้น แต่รวมไปถึงหมู่ชนชาวตุรกี ชาวบาก้าและนายทหารอื่นๆ ของเมืองนี้ด้วย
ทันทีที่ทราบข่าวการมาของเรา กงสุลผู้นี้ก็เสนอที่พักและอาหารให้แก่พระสังฆราชแห่งเบริธ ความมีอัธยาศัยดีของเขาทำให้เราไม่อาจปฏิเสธได้ เราต้องต้อนรับคนนั้นคนนี้ตลอดเวลาที่พักอยู่ในเมืองนี้ กงสุลใจอารีผู้นี้ไม่ทราบจุดประสงค์ของการเดินทางออกจากฝรั่งเศสของเรามาก่อน แต่เพื่อให้เกียรติแก่งานเผยแพร่ศาสนาของเรา เขาก็ยิ่งเพิ่มความช่วยเหลือทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจและเกียรติของเขา รวมทั้งแสดงความเป็นผู้มีใจศรัทธามากขึ้นเป็น ๒ เท่าจากประสบการณ์ เราก็รู้ถึงเจตนาทุจริตของชาวตุรกี ส่วนใหญ่ที่บุกรุกใช้สถานที่ของชาวคริสต์ รวมทั้งรู้ว่าชาวคริสต์ไม่อาจเตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าได้อย่างเพียงพอ เพราะพวกตุรกีรู้สึกภูมิใจที่ได้หลอกลวงผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ การที่ชาวคริสต์เหยียดหยามคนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สมควรกระทำ ตัวกงสุลเองก็ระมัดระวังตนโดยเขียนจดหมายขอให้ทหารของสุลต่านซึ่งจะเป็นหัวหน้าและผู้นำกองคาราวาน และพร้อมจะออกเดินทางไปขณะที่เรามาถึงนั้นเลือกเอาว่าจะเลิกหรือทำตามสัญญา ในภาษาตุรกีเรียกชาวคริสต์จากยุโรปที่เดินทางมายังตุรกีว่า ชาวฟรองส์ เนื่องจากคิดว่าพวกนี้ร่ำรวย สิ่งนี้เองที่ล่อใจให้ชาวตุรกีพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้พวกฟรองส์ตื่นตระหนกและจะเข้าปล้น ดังนั้น พวกฟรองส์จึงต้องทำตนเป็นคนที่ยากจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย การกินอยู่หรือการใช้จ่าย พวกเขาจะไม่โอ้อวดเรื่องเงินทองเลยโดยจะใช้เพียงเศษเงินเช่นที่คนจนๆ ใช้เท่านั้น เราเองไม่ประสบปัญหาในการปลอมแปลงตนเป็นคนจนนัก เพราะสถานะของเราก็เหมาะสมกับการทำเช่นนี้อยู่แล้ว การฝากฝังของกงสุลปิเกต์ ทำให้หัวหน้ากองคาราวานเป็นมิตรที่ดีของเราและระหว่างการเดินทางจนถึงเมืองบาบีโลน เขาจะปกป้องเราเป็นพิเศษเสมอ บางครั้งเราก็เลี้ยงอาหารและให้ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นการตอบแทน สรุปได้ว่า การมีชีวิตอยู่อย่างรวดเร็วระมัดระวังตน การกินอยู่ที่พอประมาณ การพักผ่อนเล็กน้อย การที่ต้องเปิดตากว้างอยู่เสมอและมีกำลังใจอยู่ตลอดเวลา คือลักษณะการเดินทางไปกับกองคาราวานนี้ซึ่งแต่ละคนต่างไม่ไว้วางใจกัน เนื่องจากมีการลักขโมยเกิดขึ้น ความแตกต่างในเรื่องศาสนาขนบประเพณี ภาษา และชาติทำให้เกิดการวิวาทกันอยู่ไม่รู้จบสิ้น
ก่อนออกเดินทางจากเมืองอาเลป เราได้สอบถามบรรดาบาทหลวงสอนศาสนาเกี่ยวกับสถานภาพของศาสนาคริสต์ในเมืองนี้ การที่กงสุลปิเกต์ให้ความอารักขาทำให้คณะมิชชันนารีสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และเราก็ไม่ละเว้นที่จะกล่าวชมเชยเขาว่าเป็นบุคคลแรกที่ช่วยฟื้นฟูงานเผยแพร่ศาสนาไปในดินแดนต่างๆ โดยอาศัยอำนาจและความรอบคอบ อีกทั้งสนับสนุนคณะมิชชันนารีให้มีสิทธิพิเศษในเมืองนี้ในการบริจาคทาน และการไม่ถูกหมิ่นประมาท ซึ่งปกติเคยได้รับอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนพ่อของคนยากจน รวมทั้งของชาวฝรั่งเศสและชาวคริสต์ที่แยกไปถือนิกายอื่นด้วย เพื่อว่าชาวคริสต์ทุกคนจะได้มีเสรีภาพอย่างกว้างขวางในขณะอยู่ภายใต้การดูแลของสถานกงสุล สิ่งนี้เองที่ช่วยให้คนเหล่านี้มีความรักในชาติของเรามากยิ่งขึ้นด้วย นักบวชคณะเยซูอิต คณะกาปูซิน และคณะการ์แมสเด โชสเช่ ได้เข้ามาประจำอยู่ที่เมืองนี้ เมื่อ ๗ หรือ ๘ ปีมาแล้วโดยประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจเป็นอย่างมาก และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดี หากเราพยายามสร้างสัมพันธภาพกับประมุขของพวกเขาที่นับถือนิกายผิดๆ โดยเพื่อผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว อีกทั้งชักนำเขาให้เข้ามาเป็นพรรคพวกได้ง่ายก็ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะง่ายไปกว่าการชักนำชาวคริสต์ที่แยกไปถือนิกายอื่นทั้งหมดมาสู่ความเชื่อที่แท้จริง สิ่งที่คณะมิชชันนารีลงมือกระทำเพื่อขจัดบุคคลบางคนออกไปนับแต่เริ่มมีสถานกงสุลของท่านปิเกต์ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามคณะมิชชันนารีก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัตคัดขัดสน เพราะไม่เคยได้รับอะไรจากชาวคริสต์ในแถบนี้เลย เนื่องจากเกือบทุกคนล้วนยากจนและเดือดร้อนรวมทั้งไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากยุโรปมากนัก แต่งานของคณะมิชชันนารีนั้นก็มีมากมาย คือ เทศน์และอบรมสั่งสอนชาวคริสต์จากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโบสถ์ของสาธารณชน ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือมิสซังที่อยู่ไม่ไกลจากเรามากนักนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่ยาก และไม่ถูกต้องจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเราได้เห็นความเชื่อที่แท้จริงจากที่นั่น ด้วยเหตุนี้จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะหาวิธีฟื้นฟูความเชื่อ และสนับสนุนให้มีโอกาสที่เหมาะยิ่งขึ้นซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนเข้าร่วมเดินทางไปกับกองคาราวาน เราต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่นำติดตัวมาจากฝรั่งเศสทั้งหมดแล้ว แต่งตัวแบบชาวตุรกีและโพกผ้าบนศรีษะ การโพกผ้านี้ไม่สะดวกต่อการเดินทางเท่าการสวมหมวก แต่อย่างน้อยก็ให้คุณประโยชน์โดยเฉพาะเมื่อผ้าโพกนี้เป็นของมีค่า
เพราะในการเล่านี้ข้าพเจ้าคิดจะพูดถึงประโยชน์ที่คณะมิชชันนารีซึ่งจะถูกเรียกให้ติดตามเรามาในภายหลัง หรือผู้ที่ต้องการเดินทางมาจะได้รับ ข้าพเจ้าจึงจะตั้งข้อสังเกตปลีกย่อยเกี่ยวกับการเดินทางไปกับกองคาราวานซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีผลสลักสำคัญนัก อย่างไรก็ตามก็ควรทราบว่าเมื่อเราให้ข้อแนะนำเพียงข้อเดียวก็เท่ากับว่าเราได้ให้ความช่วยเหลืออันใหญ่ยิ่งแก่หมู่นักเดินทางที่น่าสงสารแล้ว นั่นคือ เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจเกินกว่าจะพูดได้เมื่อพบว่า ตนเองเป็นคริสตชนคนเดียวในท่ามกลางคนนอกศาสนา และไม่กล้าแม้จะซักถามอะไรด้วยเกรงว่าจะเป็นการแสดงความไม่รู้ออกไป
กองคาราวานจากเมืองอาเลปมายังเมืองบาบีโลน นับเป็นกองคาราวานที่ทุลักทุเลที่สุดกองหนึ่งเนื่องจากต้องเดินทางผ่านทะเลทราย คำสั่งที่ทุกคนต้องยึดถือ คือ หลังจากตกลงเงื่อนไขกับผู้นำทางของกองคาราวานแล้ว เราต้องมาตามนัดหมายแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เช้าทุกคนก็ขึ้นม้าหรืออูฐ และจะไม่ลงมาอีกเลยจนกระทั่งตกเย็นซึ่งเป็นเวลาที่หยุดพักกินอาหารมื้อเดียวของเรา อย่างไรก็ตามก่อนออกเดินทาง เราได้เตรียมจัดหาขนมปังแห้งและผลไม้แห้งไว้แล้วเพื่อช่วยประทัง เมื่อเกิดเหนื่อยล้าและหิวจากการเดินทางตลอดช่วงเวลากลางวัน เราจะทำอาหารเฉพาะตอนเย็นเท่านั้น เพราะมีเวลาว่างพอที่จะจุดไฟและเตรียมอาหารซึ่งก็มีเพียงข้าว และเนยเหลวเท่านั้น สิ่งที่ลำบากที่สุดคือไม้หายากเนื่องจากอยู่ในเขตทะเลทราย เราจึงใช้ต้นโรมาแรงที่มีอยู่ดาษดื่นและมีกลิ่นฉุนมากแทน เราเดินทางผ่านเข้าไปในทุ่งนาอยู่หลายวัน และเมื่อไม้โรมาแรงหมด เราก็ใช้ปุ๋ยจากอูฐตากแห้งซึ่งจุดติดไฟง่ายแทน และใช้ไฟนี้อุ่นอาหารที่ต้องการรับประทาน ในเขตทะเลทรายนี้อย่ามองหาบ้านหลังอื่นอีกเลยนอกจากบ้านที่เรานำมาบนหลังอูฐด้วยแรงศรัทธาเท่านั้น บ้านดังกล่าวก็คือกระโจมนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องนอนอยู่ในกระโจมกลางทุ่งนาทุกวัน สิ่งที่ดีในการเดินทางไปกับกองคาราวานคือ เราไม่เคยต้องทนทรมานกับอารมณ์ร้ายของผู้ที่ต้อนรับอีกทั้งไม่เคยประสบปัญหาเรื่องการต่อรองค่าที่พักเลย ในฤดูอื่นๆ เราจะเดินทางได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นซึ่งผู้ที่เคยใช้ชีวิตอย่างเป็นระเบียบแบบแผนจะรู้สึกอ่อนเพลียมากเพราะเขาไม่อาจหยุดพักผ่อนได้เลย เพราะในช่วงกลางคืนเราต้องเดินทางและในช่วงกลางวันต้องเผชิญกับความร้อนระอุของแสงอาทิตย์และพื้นทราย แต่ขณะที่เดินทางอยู่นี้เป็นช่วงฤดูหนาว เราจึงไม่ต้องประสบกับอุปสรรคเช่นนั้น เพราะเราสามารถเดินทางในตอนกลางวันได้ แต่ความไม่สะดวกสบายอีกอย่างหนึ่งที่เราประสบซึ่งอย่างไรก็ตามก็น้อยไปกว่า นั่นคือ ฝนและความหนาวเย็น ในตอนกลางวันเราสามารถต่อสู้กับความหนาวเย็น และฝนได้โดยใส่ผ้าสักหลาดบางชนิดที่ทำในประเทศเปอร์เซียได้ และเราเคยนำไปใช้ในที่ต่างๆ ของเอเชียด้วย ส่วนในตอนกลางคืน เราก็เข้าไปหลบความหนาวเย็นอยู่ในกระโจมที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะและแข็งตัวอยู่เต็มไปหมด และคอยให้แสงอาทิตย์ละลายน้ำแข็งออกก่อนที่จะม้วนเก็บบ้านพับได้นี้ซึ่งเราเอามันไปด้วยทุกหนแห่ง สิ่งที่ไม่สะดวกที่สุดอีกประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนน้ำ น้ำหาได้ยากในแถบทะเลทรายนี้เนื่องจากไม่มีธารน้ำและน้ำพุอยู่เลย มีผู้พยายามค้นหาน้ำโดยการขุดบ่อ ซึ่งบรรดาผู้นำกองคาราวานรู้ดีว่าบ่อน้ำนี้ซุกซ่อนอยู่ในท่ามกลางความเวิ้งว้างซึ่งเป็นที่ๆ ลมพัดพาเอาทรายมาจากทุกด้าน และลบร่องรอยของเส้นทางต่างๆ ได้ในไม่ช้า ทันทีที่พบบ่อน้ำพวกเขาต่างจะแยกตัวออกจากกองคาราวานใหญ่ และนำไหไปขนน้ำมาในปริมาณที่จำเป็นสำหรับทุกๆ คน อูฐที่ใช้ในภูมิประเทศนี้ทนกับความกระหายได้ดีซึ่งถือเป็นความสามารถยิ่งของผู้ที่เดินทางผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เนื่องจากน้ำในบ่อมักไม่สะอาดและมีกลิ่นเหม็น ชาวตุรกีจึงใช้เครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากาแฟ ที่เริ่มมีแล้วในบางเมืองของยุโรปดื่มแทนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดท้อง กาแฟทำจากเมล็ดกาแฟเล็กๆ ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในทะเลทรายอาราเบียใกล้เมืองเมกกะ จนกระทั่งมีการส่งไปขายทั่วเอเชียและเกือบทุกๆ แห่งที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ดื่มแทนเหล้าไวน์ได้ และให้ผลดีพอๆ กับเหล้าไวน์ คือใช้บำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยระบบการย่อยและช่วยให้คลายจากการปวดศีรษะ พวกเขาจะคั่วเมล็ดกาแฟในกระทะแล้วตำให้ละเอียด หลังจากนั้นนำไปร่อนซึ่งจะมีผงละเอียดเป็นแป้งตกลงมา น้ำผลแป้งที่ไหม้เกรียมนี้ไปต้มในน้ำนานเท่าช่วงเวลาที่สวดบทมิแซเรเร่ได้ 1 บท แล้วดื่มขณะที่กาแฟร้อนที่สุดเท่าที่จะร้อนได้ แม้ว่ากาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีรสไม่อร่อยนัก เนื่องจากมีรสขมมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็มีผู้เห็นคุณประโยชน์กันมาก นับเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าพระเป็นเจ้าได้ประทานทุกสิ่งที่จะเป็นซึ่งเป็นผลประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในทุกๆ ประเทศ เราคิดว่าในประเทศอื่นๆ จะต้องมีต้นไม้ที่ให้คุณค่าเดียวกันนี้อย่างแน่นอน
ผู้ที่เดินทางไปกับกองคาราวานจะต้องคอยระวังตัวไม่ออกห่างไปจากกลุ่ม เพราะจะถูกชาวอาหรับที่หาเลี้ยงชีพด้วยการปล้นสะดมคนที่ผ่านไปมาอย่างไม่รู้จบสิ้นชิงทรัพย์เอาได้ ถ้ากองคาราวานใหญ่เข้มแข็งมาก พวกนี้จะแอบโจมตีท้ายขบวนโดยมิให้รู้ตัว และอย่าหวังว่าผู้ที่เดินทางล่วงหน้าไปแล้วจะหันกลับมาช่วยเหลือผู้ที่ถูกโจมตีได้ เราจำต้องขอโมทนาคุณพระเป็นเจ้าให้ทรงคุ้มครองเราเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงใดๆหรือแม้แต่เรื่องที่น่าหวาดกลัว อย่างไรก็ตามมิใช่ว่าเราจะได้เผชิญหน้ากับชาวอาหรับบ่อยๆ ระหว่างฤดูหนาวพวกเขามักไม่ค่อยอยู่ห่างจากครอบครัวเนื่องจากมีภาระในการหาหญ้าให้สัตว์เลี้ยง เราจะสังเกตเห็นชาวอาหรับ ๒-๓ กลุ่มนำภรรยาลูกและฝูงสัตว์โดยบรรทุกเครื่องเรือนและบ้านไว้บนหลังวัด และลาเดินทางไปหาทำเลแหล่งอื่น เมื่อพบที่ดินเหมาะในการเลี้ยงสัตว์ พวกเขาก็ตั้งกระโจมเล็กๆ ที่นั่นและสร้างเมืองเคลื่อนที่ไว้โดยจะพักอยู่ที่นั้นตราบเท่าที่ฝูงสัตว์ยังมีอาหารกินอยู่ ชาวอาหรับมักไม่เกรงกลัวอะไรเพราะพวกเขาจะแก้แค้นด้วยวิธีรุนแรงเพื่อสิ่งที่ตนรักที่สุดได้อย่างง่ายดาย นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นจากการเดินทางไปกับกองคาราวาน ตอนนี้ข้าพเจ้าจะกลับมาพูดถึงการเดินทางของเราต่อไป วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เราตั้งค่ายพักแรมกลางทุ่งนาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอาเลป ๑ ลิเยอ วันรุ่งขึ้นก่องคาราวานก็มาถึงเมืองอิสาบู และหยุดคอยพ่อค้า ๒-๓ คน วันที่ ๖ ออกเดินทางต่อไปจนถึงวันที่ ๑๔ เราก็ผ่านปราสาทหลังหนึ่งชื่อแดรต์ และบ้านประมาณร้อยหลังใกล้แม่น้ำเออฟราด (ยูเฟรติส) ประมุขของดินแดนแห่งนี้ปกติเป็นหัวหน้าของพวกอาหรับ และเป็นผู้ที่จะปล่อยให้กองคาราวานทุกกองผ่านแม่น้ำไปได้โดยบังคับให้จ่ายเงิน ๓ ใน ๔ เปียสต์ต่อสัมภาระหนึ่งชิ้นพร้อมของกำนัลหนึ่งชิ้น แต่ถ้าเราไม่จำเป็นต้องผ่านแม่น้ำเลย เขาก็มีวิธีการขอของกำนัลเอาตามต้องการซึ่งกฎเกณฑ์นั้นขึ้นอยู่กับความใหญ่โตของกองคาราวาน เราต้องค่ายอยู่ห่างจากปราสาทแดรต์ ๑ ลิเยอ วันรุ่งขึ้นเราเดินทางผ่านแม่น้ำเออฟราตทางด้านแคว้นเมโสโปเตเมีย และหยุดพักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนี้ ๓ วัน แต่ในดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นที่พำนักของเหล่าสิงโต หมูป่าและสัตว์ป่าอื่นๆ มากกว่าจะเป็นแหล่งที่คนอยู่อาศัย ตลอดทางเราเห็นร่องรอยของบรรดาสัตว์ป่า และยิ่งเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความบ้าคลั่งของมันด้วยเนื่องจากเราได้ลักลอบยึดเอาสถานที่พักผ่อน และทางเดินของมันไว้ มีคนๆ หนึ่งในกลุ่มของเราออกไปไกลจากกองคาราวานเล็กน้อย และตื่นขึ้นพบสัตว์ป่าตัวหนึ่งกำลังกระโดดข้ามพุ่มไม้เข้ามาถึงตัวเขา มันรู้สึกดีใจที่ทำให้เขาตื่นตระหนกได้ สิ่งที่เราได้เรียนรู้และควรทำตามคำแนะนำที่มีผู้ให้ไว้คือ อย่าออกไปไกลจากกองคาราวานใหญ่เลย วันที่เราตั้งค่ายพักแรมอยู่นั้น มีอูฐตัวหนึ่งตาย ร่างของมันถูกนำมาทิ้งห่างจากกระโจมของเราเล็กน้อย ในไม่ช้าอูฐตัวนี้จะต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ฝูงใหญ่ที่กินเนื้อเป็นอาหาร และกำลังหิวโหยอย่างแน่นอน สิงโตซึ่ง ไม่หวาดกลัวทั้งคนและไฟหรือเสียงเห่าของสุนัขจะทำตัวเป็นเจ้าขอบง และเฝ้าเหยื่อรายนี้ไว้ตลอดคืน กองคาราวานใช้เวลา ๓ วัน อยู่ในเรือเลวๆ ลำหนึ่งเพื่อเดินทางข้ามแม่น้ำเออฟราต เราต้องจ่ายค่าผ่านทาง ๑ ใน ๔ เปียสต์ต่อสัมภาระบนหลังม้าหรืออูฐแต่ละตัว วันที่ ๑๘ เราเดินทางต่อไปจนถึงวันที่ ๒๓ จึงมาถึงเมืองอันนา ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำเดียวกัน เราพักแรมอยู่ที่นั่นในวันที่ ๒๔ และ ๒๕ โดยชาวฝรั่งเศสแต่ละคนต้องจ่ายเงิน ๒ เปียสต์ เป็นค่าสิทธิที่เจ้าผู้ครองเมืองนั้นกำหนดไว้ นอกจากนี้เรายังต้องจ่ายอีก ๔ เปียสต์สำหรับสัมภาระแต่ละชิ้น วันที่ ๒๖ เราออกเดินทางและมาถึงเมืองบาบิโลนช้ามากคือวันที่ ๔ มีนาคม ซึ่งชาวเอเชียเรียกเมืองนี้ว่าแบกแดดแต่เมื่อกองคาราวานมาถึงปรากฏว่าประตูเมืองปิด เราจึงต้องนอนอยู่ริมแม่น้ำไปเกอร์ท่ามกลางแสงจันทร์ วันรุ่งขึ้น มีพวกเรา ๒ คน ต้องการเข้าไปในเมืองพร้อมกับล่ามขณะที่อีกคนเฝ้าสัมภาระอยู่ แต่ทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อยินยอมจ่ายเงิน ๒ เปียสต์ก่อนพวกเขาขี่ม้าเข้าไปพร้อมกับย่าม ๒ ใบ และสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีโดยไม่ถูกตรวจค้น หลังจากไปถึงได้ไม่นาน หนึ่งในสองคนนั้นก็ไปที่ด่านขนอนซึ่งสัมภาระของเราถูกนำไปไว้ที่นั่น เราไม่ต้องจ่ายอะไรเลยสำหรับหนังสือหรือเครื่องแต่งกายของบาทหลวงเพื่อทำพิธีทางศาสนา ส่วนของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ที่มีผู้แนะนำให้เราซื้อมาจากปารีสนั้นพวกเขาแทบไม่สนใจกันเลย อย่างไรก็ตามเราก็รู้สึกคร้ามกลัวความเข้มงวดของด่านขนอนแห่งนี้มาก จริงที่ว่าผู้นำโชคมาให้เราคือโตปิกี บาชี นายร้อยโททหารปืนใหญ่ของเมืองนี้ซึ่งเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก และแสดงตนรับใช้ชาวฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ เขาแสดงตนอย่างเปิดเผยว่านับถือ และเคยรับการสั่งสอนจากศาสนาคาทอลิกในฐานะเป็นชาวเวนิช โตปิกีให้ความช่วยเหลือแก่เราอย่างมากมาย โดยไปที่ด่านขนอนด้วยตนเอง และทำการประเมินราคาของที่มีราคาถึง ๔๐๐ เอกูในปารีสไว้เพียง ๑๐๐ เอกูเท่านั้น และยังแจ้งที่ด่านด้วยว่าของที่ระลึกเหล่านั้นเป็นของตน เราจึงแทบจะไม่เสียอะไรไปเลย โตปิกีผู้นี้ปกติอาศัยอยู่ใกล้เมืองดามาสในที่ดินที่สุลต่านยกให้ในฐานะที่ต่อสู้กับกษัตริย์เปอร์เซียมาด้วยดี ที่ดินผืนนี้ทำรายได้ให้เขาปีละ ๔๐๐๐-๕๐๐๐ เอกูซึ่งเขาจะสามารถร่ำรวยกว่านี้อย่างแน่นอนหากยินยอมรับข้อเสนอที่ให้ละทิ้งศาสนาคาทอลิกเสีย ลูกชายของเขาแม้ยังเด็กอยู่แต่จะต้องรับหน้าที่จากผู้เป็นพ่อในอนาคต ดังนั้น เราจึงพยายามติดต่อคุ้นเคยกับโตปิกีไว้ในฐานะที่เขาอาจเป็นประโยชน์ต่อไปกับผู้ที่จะเดินทางตามเรามาภายหลัง เราได้มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้และเขาก็ตอบแทนเราด้วยการให้ดื่มเครื่องดื่ม
เมื่อมาถึงเมืองบาบิโลนเราได้ไปยังที่พักของนักบวชคณะคาปูซีนฝรั่งเศสซึ่งปกติมีอยู่ด้วยกัน ๓-๔ คน และเป็นมิชชันนารีกลุ่มเดียวที่อยู่ในเมืองนั้น เราเป็นประจักษ์พยานได้ในความนับถือที่คนในเมืองนั้นมีต่อพวกเขารวมทั้งผลสำเร็จของความพยายามในการชักนำ ชาวอาร์เมเนียน จาโคไบท์ และเนสโตเรียงมาสู่พระศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ ผลที่พวกเขาได้รับจากการทำงานนี้เป็นสิ่งที่ดีเด่นพอควรถ้ามองดูในส่วนที่เกี่ยวกับการต้านทาน และสภาวะที่ผันผวนของชาวคริสต์ส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถเอาชนะใจบาทหลวงบางองค์ในกลุ่มและคนประมาณ ๒๐๐ คน ซึ่งเข้ามารับการสั่งสอนถึงธรรมล้ำลึกของพระเยซูเจ้า นี่คือความสำเร็จอย่างหนึ่งของบาทหลวงเหล่านี้ ความสำเร็จอีกประการหนึ่งคือ การจัดทำพิธีโปรดศีลล้างบาปให้แก่เด็กเล็กชาวตุรกีซึ่งใกล้ตาย บาทหลวงที่ดีเหล่านี้มีวิธีการอันชาญฉลาดคือ ส่งบาทหลวงองค์หนึ่งเข้าไปในเมืองในฐานะเป็นแพทย์ที่เชียวชาญที่สุด ทั้งเป็นคนใจบุญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวเมืองส่งเด็กที่ป่วยมาขอรับการรักษาหรือนำท่านไปรักษาในทันที และเมื่อเห็นว่าเด็กตกอยู่ในสภาพที่ต้องตายอย่างแน่นอน บาทหลวงองค์นี้จะประกอบพิธีโปรดศีลล้างบาปศักดิ์สิทธิ์ให้ สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้รับคำอวยพรมาก แต่ก็เป็นการยากที่จะเห็นใครสักคนหนึ่งที่จะรอดชีวิตหลังจากได้รับอานิสงค์นี้แล้ว นักบวชคณะคาปูซีนนี้ได้ขอร้องให้ท่านสังฆราชแห่งเบริธประกอบพิธีโปรดศีลกำลัง ให้กับคาทอลิก ๑๒๐ คน ซึ่งท่านได้โปรดให้จัดขึ้นในวันที่ ๑๓ และ ๑๔ ของเดือนนั้น
เมืองบาบีโลนตั้งอยู่บนแม่น้ำไทกริสประมาณละติจูดที่ ๓๓ํ ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองแน่นหนาพอประมาณ ซึ่งด้านหนึ่งยื่นลงไปในแม่น้ำใหญ่นี้ สุลต่านสั่งให้ทำนุบำรุงกำแพงไว้เป็นอย่างดีด้วยเกรงว่ากษัตริย์เปอร์เซียจะมารุกราน บาบีโลนมีขนาดใหญ่เท่าเมืองออร์เลออง แต่ประชาชนไม่หนาแน่นเท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองต่างๆของฝรั่งเศสแล้ว เมืองนี้ไม่มีอะไรสวยงามเลยมีสุเหร่าและบาซาร์ อยู่ ๒-๓ แห่ง ซึ่งบาซาร์ก็คือ ถนนที่มีลักษณะโค้งและมีต้นไม้ปกคลุมอยู่มากที่บรรดาพ่อค้ามาทำการค้าและบรรดาช่างฝีมือมาตั้งร้านค้าอยู่ ชาวเปอร์เซียเป็นผู้สร้างถนนนี้ขึ้นในขณะถือกรรมสิทธิ์ครอบครองเมืองบาบีโลนอยู่ สิ่งที่ทำให้สุเหร่าและบาซาร์เป็นที่ปรากฏเด่นชัดคือ มีการตกแต่งบริเวณภายนอกด้วยหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมที่ทำด้วยดินขัดมันหลากสี ทำให้น่าดู บาบีโลนเป็นเมืองใหม่และอยู่ไกลจากเมืองบาบีโลนเก่าอันเรืองนามมากกว่า ๓๐ ไมล์
วันที่ ๑๖ มีนาคมเราออกเดินทางไปเมือบัฟฟอรา โดยมีโตปิกีชาวเวนิชเป็นธุระจัดให้เราได้ลงเรือของเพื่อนชาว Janissaire ด้วยตนเอง เราล่องเรืออยู่บนแม่น้ำไทกริส เราไม่อาจบรรยายถึงความยินดีได้เมื่อมีโอกาสพบสัตบุรุษคนหนึ่งในท่ามกลางกลุ่มคนนอกศาสนา ซึ่งเข้าใจภารกิจของเรา และนับถือศาสนาเดียวกันเรารวมทั้งได้ให้ความช่วยเหลือเราด้วยดี พระญาณสอดส่องของพระเป็นเจ้า บันดาลให้เราได้พบเพื่อนเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาและนี่คือหนึ่งในผลประโยชน์อันใหญ่ยิ่งที่เราได้จากการเดินทาง
วันที่ ๒๙ เรามาถึงเมืองคอร์นาซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่แม่น้ำยูเฟรติสไหลมาบรรจบกับแม่น้ำไทกริส ซึ่งทำให้แม่น้ำไทกริสดูสวยงาม ที่นี่มีด่านขนอนขนาดค่อนข้างใหญ่และเข้มงวดอยู่แห่งหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับราชาแห่งเมืองบัฟฟอรา เรารอดพ้นจากด่านนี้ได้ เพราะพระเป็นเจ้าประทานความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยให้เจ้าหน้าที่ด่านรู้สึกพอใจที่ได้เห็นหีบหนังสือและหีบอื่นๆ ที่บรรจุเครื่องแต่งกายของบาทหลวงสำหรับทำพิธีทางศาสนาและทุกๆ สิ่งที่ไม่มีค่าอะไรเลย เราออกจากเมืองคอร์นา วันที่ ๓๐ ตอนเที่ยงและมาถึงคลองบัฟฟอราตอนเย็น วันรุ่งขึ้นเราแจ้งให้นักบวชคณะคาร์แมส เดโชสเซ่ทราบถึงการมาของเรา นักบวชคณะนี้เป็นชาวอิตาเลียนและหนึ่งในจำนวนนั้นได้นำเรือเล็กมารับเราไปยังที่พัก คณะมิชชันนารีมีคุณประโยชน์ที่เมืองบัฟฟอรา ไม่ว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือชาวคริสต์ที่อยู่ที่นั่น หรือการช่วยให้ทาสหนีออกจากเปอร์เซียและเขตตุรกีได้สะดวกขึ้น หรือการต้อนรับคณะมิชชันนารีที่เดินทางไปมา รวมทั้งการช่วยเหลือชาวคริสต์ที่ทำการค้าอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้ ซึ่งมีเรือของโปรตุเกส อังกฤษ และฮอลันดา มาจอดอยู่เป็นจำนวนมาก และเรือเหล่านี้จะแล่นไปหมู่เกาะอินเดียทุกปี ในตอนบ่ายมีคนมาขอดูของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ของเราซึ่งประเมินราคาได้ ๕๐๐เปียสต์ แต่ไม่สูงไปกว่าที่ปารีสนัก เราต้องจ่ายภาษีด่านขนอนซึ่งเรียกเก็บ ๗.๕ % หรือ ๓๗.๕ เปียสต์
บัฟฟอราหรือบาลแฟร์เป็นเมืองๆ หนึ่งในทะเลทรายอาราเบีย ตั้งอยู่ที่ละติจูด ๓๓ ํ เหนือ บนลุ่มแม่น้ำกว้างซึ่งเกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำยูเฟรติสและไทกริส ต้นน้ำของลุ่มน้ำนี้อยู่ต่ำลงมาจากเมืองบัฟฟอรา ประมาณ ๓๕ ไมล์ และไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซียชายฝั่งทั้งสองด้านมีทิวทัศน์สวยงามมาก เต็มไปด้วยป่าต้นปาล์มที่ให้ผลอินทผลัมจำนวนมากซึ่งส่งไปขายยังทุกหนทุกแห่ง นับเป็นแหล่งโภคทรัพย์ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ผลอินทผลัมนี้เป็นที่จักกันพอควรไม่ว่าเป็นแห้งหรือสดก็มีรสอร่อย แต่ถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้ร้อนและเป็นอันตรายต่อถุงน้ำดี มีหนังสือบางเล่มกล่าวชื่นชมลักษณะเฉพาะของปาล์มชนิดนี้ไว้ว่า ปาล์มแต่ละต้นมีหนึ่งเพศ มันจะไม่ให้ผลเลยถ้าขาดเพศใดเพศหนึ่งเพราะต้นเพศผู้จะไม่เคยออกผลเลย แต่ในฤดูใบไม้ผลิ ที่โคน ลำต้นของเพศผู้จะมีหน่ออ่อนบางๆ แตกออกมาตรงกลางลักษณะเหมือนแขน และจะแคบเข้าในตอนปลายสุดทั้งสองข้าง มีความยาวประมาณ ๑ ปิเยด์เช่นกัน เพื่อให้ปาล์มชนิดนี้ออกผลมากขึ้น จะต้องกรีดตรงหน่อที่แตกออกมาและต่อหน่ออ่อนของต้นเพศผู้เข้าไปผลอินทผลัมจะออกที่หน่อ ที่ต่อแล้วนี้ซึ่งยาวประมาณครึ่งแขน แต่ละหน่อจะให้ลูกอินทผลัมประมาณ ๑๒ ผล และแต่ละรอยต่อจะมีหน่อโผล่ออกมาประมาณ ๑๕-๒๐ หน่อ ต้นปาล์มเพศเมียจะมีปริมาณมากกว่าเพราะเพศผู้จะแตกหน่อมาเพื่อหล่อเลี้ยงต้นเพศเมียมากมายโดยถือเป็นเกณฑ์ว่าในส่วนปาล์ม ๑๐๐ ต้นจะมีต้นเพศผู้เพียง ๖ ต้นเท่านั้น ลักษณะเฉพาะดังกล่าวเปิดโอกาสให้เราได้ชื่นชมกับโภคทรัพย์ และความแตกต่างของธรรมชาติรวมทั้งได้สรรเสริญพระเป็นเจ้าผู้สร้างสรรค์ด้วย
เมืองบัฟฟอรามีขนาดใหญ่พอควรและประชากรหนาแน่นเนื่องจากทำการค้าทางน้ำกับชาติเกือบทุกชาติไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือเอเชีย ชาวโปรตุเกส อังกฤษ และฮอลันดาจึงต้องการไปแสวงหาความร่ำรวยจากที่นั่น เมืองนี้แม้จะใหญ่โตแต่ก็สร้างไม่ดีและไม่สวยงาม บ้านส่วนใหญ่ ทำด้วยอิฐตากแห้ง ดังนั้นจึงไม่ค่อยทนทาน และหลังคาที่ทำเป็นพื้นราบอย่างหยาบๆ ซึ่งเราอาจทำแหลกละเอียดได้ขณะเดินอยู่บนนั้น ส่วนบ้านอื่นๆ ทำด้วยต้นอ้อหรืออ้อย อากาศค่อนข้างดี แต่ร้อนมากจนถึงกับทำให้คนต้องลงแช่น้ำในช่วงฤดูร้อนเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าหรือไม่ก็เอาผ้าชุบน้ำห่อตัวเพื่อให้สามารถนอนหลับได้ เราไม่เคยพบที่ใดที่แสงอาทิตย์ร้อนแรงมากไปกว่านี้แล้ว นอกจากนี้ในตอนกลางคืนอากาศที่นี่จะไม่เย็นสดชื่นเหมือนที่อื่น ด้วยเหตุนี้บ้านก็ยังคงอบอ้าวจนดูเหมือนว่าอึดอัดมากเกินกว่าที่จะหายใจได้ ลักษณะเช่นนี้กินเวลาจนถึงรุ่งเช้าที่เราเริ่มรู้สึกว่าอากาศสดชื่นไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นสูงเหนือขอบฟ้าไปแล้ว
เจ้าผู้ครองเมืองนี้เป็นราชามุสลิมซึ่งถูกขนานนามให้เป็นกษัตริย์ แม้จะถวายเครื่องบรรณาการให้แก่สุลต่านเยี่ยงชนเผ่าหนึ่งทุกๆ ปี แต่เขาก็ไม่เชื่อฟังสุลต่านมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐเล็กๆ แห่งนี้และเป็นการง่ายที่จะปกป้องตนเอง เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากประตูเมืองมาก และยากลำบากที่จะเข้ายึดครอง หรือนำกองทัพผ่านทะเลทรายอาราเบียอันกว้างใหญ่ ที่แยกเมืองนี้ออกจากรัฐอื่นๆ ของสุลต่านเข้ามา เจ้าผู้ครองเมืองนี้จึงตั้งใจผูกสัมพันธไมตรีกับชาวอาหรับเพื่อว่าจะได้ขอความช่วยเหลือเมื่อถึงเวลาจำเป็น
เมืองบัฟฟอราอยู่ระหว่างหมู่เกาะอินเดียและยุโรป เป็นเมืองชายฝั่งที่ทุกๆ ชาติเข้ามาทำการค้า ดังนั้น เมืองนี้จึงมีการเลือกถือศาสนาได้ทุกศาสนา เช่น มีชาวยิว มุสลิม คริสต์นิกายต่างๆ พวกนอกศาสนา และพวกบูชาเทวรูปซึ่งต่างก็มีโบสถ์ และนักบวชของตนเองรวมทั้งมีเสรีภาพในการปฏิบัติกิจทางศาสนาด้วย ศาสนาคาทอลิกมีคนนับถือน้อยที่สุด แต่มีโบสถ์สวยงามอยู่แห่งหนึ่งของนักบวชคณะคาร์แมส เดโชสเซ่ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยที่ชาวโปรตุเกสเข้ามามีอำนาจในหมู่เกาะอินเดีย ปัจจุบันชาวคาทอลิกอยู่ในเมืองบัฟฟอราไม่เกิน ๒๐ คน
บริเวณรอบๆ เมืองบัฟฟอรารวมทั้งภายในตัวเมือง มีกลุ่มชาวคริสต์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราเรียกว่าชาวคริสต์นักบุญยวง พวกเขาให้ความนับถือนักบุญยวงมากและมากกว่าพระเยซูเจ้าด้วย โดยพูดว่าสาเหตุเพราะพระเยซูเจ้ายังต้องไปพบนักบุญยวง เพื่อขอรับศีลล้างบาป เรื่องราวสั้นๆ เพียงเรื่องเดียวก็สามารถทำให้เราวินิจฉัยได้ว่าเทววิทยา และศาสนาคริสต์ของหมู่คนผู้น่าสงสารนี้ก้าวไปถึงไหนแล้ว พวกเขานิยมนับถือไม้กางเขนอย่างมากมาย โดยกล่าวว่าไม้กางเขนให้แสงสว่างแก่ตน การกระทำเช่นนี้จะน่ายกย่อง หากพวกเขาจะไม่เน้นเรื่องแสงสว่างที่ปรากฏให้เห็นและที่ส่องตาให้แสงสว่างและเล่าความเพ้อฝันมากมายเกี่ยวกับกำเนิดของแสงสว่างนี้ พวกเขามีพระสังฆราช บาทหลวง และพิธีกรรมทางศาสนาเฉพาะของตนเองซึ่งปกติก็คือการประกอบพิธีศีลล้างบาปบ่อยครั้งโดยเชื่อว่าวิธีนี้จะชำระบาปได้ทั้งหมด มีการบูชายัญสัตว์ที่ทำการเสกแล้วเพื่อว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์นี้จะไม่ได้รับความเสื่อมเสีย แต่กลับเป็นศิริมงคลแก่ตัว
การค้าสามารถดึงดูดพวกนิยมบูชาเทวรูปจากหมู่เกาะอินเดียมาที่เมืองบัฟฟอราได้ประมุขของเมืองแม้จะเป็นมุสลิมก็เป็นศัตรูกับลัทธิบูชาเทวรูปซึ่งคัมภีร์อัลกุรอ่านหลายๆ บทต่อต้านก็ไม่ปล่อยให้คนพวกนี้ประกอบพิธีกรรมอันเลวทรามในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นเหตุให้เรารู้สึกประหลาดใจและหวาดกลัวได้
พวกนิยมบูชาเทวรูปนี้แบ่งแยกเป็นหลายนิกายซึ่งเป็นการยากที่จะอธิบายความแตกต่าง และข้อผิดพลาดของแต่ละนิกายได้ แม้พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมนอย่างที่สุดของการบูชาทวยเทพ แต่ความคล่องตัวในการทำการค้าทำให้เราเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ปราศจากความนึกคิด เราสนใจที่จะสนทนากับคนบางคนที่เราเห็นว่ามีการตัดสินใจที่ดียิ่ง เราได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมชมโบสถ์แห่งหนึ่งภายในห้องจะมีเพดานโค้งซึ่ง แสงสว่างส่องเข้าได้โดยทางประตูเท่านั้นเพราะไม่มีหน้าต่างเลย เมื่อเข้าไปในห้องนั้นทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในปราสาทของเจ้าชายแห่งความมืดมน พวกเขาจุดไฟขึ้นทันทีซึ่งจะมีควันดำพุ่งออกมา แต่แสงสว่างมีไม่มากพอที่เราจะมองเห็นทุกสิ่งได้ เพดานโค้งของโบสถ์แห่งนี้ประดับด้วยช่อดอกไม้มากมายซึ่งปิดความดำมืดไว้ ด้านในของเพดานโค้งถูกแบ่งเป็น ๒ ส่วน ด้านลูกกรงสวยงามหนึ่งแถว เจ้าหน้าที่ของโบสถ์ห้ามไม่ให้เราเข้าไปในที่สวดมนต์ด้วยเกรงว่าจะเป็นการทำให้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่เราได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ ๒ คน ก็จัดการถอดเสื้อของตนออกโดยให้เหลือเพียงผ้าชิ้นหนึ่งซึ่งกว้างประมาณ ๑ ลิเยอ คาดไว้ตรงส่วนกลางของร่างกาย มีผู้บอกเราว่าพวกเขาเกือบจะเปลือยร่างก็เพื่อเป็นการถวายความเคารพต่อเทพเจ้าของพวกเขามากยิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ของโบสถ์แนะให้เราพิจารณาแท่นบูชาอันหนึ่งที่ตั้งอยู่ซึ่งมีความยากจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของโบสถ์กลางแท่นบูชามีเทวรูปทองสัมฤทธิ์ ลักษณะเป็นรูปคนประดับด้วยหินสีต่างๆ มากมาย บนแท่นบูชามีเตียงอยู่ ๑ เตียง และผ้าม่าน เมื่อถามว่าเตียงนี้ใช้ประโยชน์อะไร เราได้รับคำตอบว่ามีไว้สำหรับมเหษีของเทพเจ้าของพวกเขา ใกล้ๆ เตียงนั้นเราจะเห็นแม่โคสีเงินตัวหนึ่งนอนอยู่ สัตว์ตัวนี้ได้รับเกียรติเกือบเทียบเท่าเทพเจ้าองค์หนึ่ง เรารู้สึกเบื่อหน่ายกับพิธีการน่าเศร้านี้ จึงกล่าวอำลาผู้ดูแลโบสถ์แห่งนี้ ขณะที่เดินออกมาเราสังเกตเห็นชายคนหนึ่งซึ่งมีเคหสถานอยู่ที่ซอกกำแพงหนาด้านหนึ่งของโบสถ์ในบริเวณที่สลัวที่สุด พวกเขาบอกเราว่าชายผู้นี้เป็นพระและมีหน้าที่สำคัญคือเตรียมอาหารให้เทวรูปทุกวันเราอาจคิดได้ว่า ถ้าเขาเชื่อว่านั่นคือการรับใช้เทพเจ้าของเขา เขาก็จะได้ผลประโยชน์อันใหญ่ยิ่งเช่นเดียวกับนักบวช ๗๐ องค์ ของเทพเจ้าแบลซึ่งพระคัมภีร์เก่าบทที่ ๑๔ ของเรื่องดาเนียล พูดไว้ว่านักบวชเหล่านี้กินอาหารที่ดีมีผู้นำมาถวายแด่เทวรูป ขณะเดียวกันก็สอนความเชื่อที่ผิดๆ แก่ประชาชนหรือแม้กษัตริย์และราชสำนักโดยอ้างว่าเทพเจ้าแบล เป็นนักกินที่ยิ่งใหญ่และจะบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด
นักบวชคณะการ์แมส เดโชสเซ่ ซึ่งให้ที่พักแก่เรา ได้พาเราไปสวนไม้ผลใกล้เมืองบัฟฟอรา ๒-๓ แห่ง เพื่อให้ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์กว่า ภายในสวนมีต้นไม้ผลสวยงามอยู่หลายชนิด และมีพวกบาญาณอาศัยอยู่ ในขณะนั้นพวกบาญาณ กำลังจัดงานฉลองใหญ่อยู่ซึ่งดูเหมือนจะเกี่ยวพันกับงานฉลองพลับพลาของพระเป็นเจ้า ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงสั่งให้ชาวยิวจัดขึ้นในสมัยก่อน ตามพระคัมภีร์เก่าบทที่ ๒๓ ของหนังสือเลวิติค พวกนอกศาสนานี้จะออกจากเมืองไปตั้งกระโจมอยู่ใต้ร่มไม้ในสวนนี้เป็นเวลา ๑ สัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานี้จะมีแต่ความสนุกสนาน การกินเลี้ยง การเต้นรำ เสียงขลุ่ย แตร และเครื่องดนตรีทุกชนิด ทันทีเราคิดจะหนีจากความวุ่นวายนั้นพวกบาญาณ ก็สังเกตเห็น และเข้ามาเชื้อเชิญให้เราเข้าไปในกระโจมอย่างสุภาพเรียบร้อย เราพบว่าในกระโจมนั้นน่าอยู่มาก บางกระโจมทำด้วยไหมปักทั้งหมด และพื้นปูพรมสวยงามมาก เราต้องนั่งบนพรมนี้ตามแบบฉบับของพวกเขาคือขัดสมาธิเหมือนช่างตัดศิลาของเรา หลังจากนั้นมีผู้นำหม้อกำยานเล็กๆ ใส่ถ่านร้อนและมีกลิ่นหอมระเหยออกมา เราต้องยอมรับอัธยาศัยอันดีนั้นโดยไม่คัดค้านใดๆ และนำหม้อกำยานนั้นมาใส่ไว้ใต้เสื้อเพื่อให้อบเสื้อผ้าของเราให้หอม ต่อมาพวกเขาก็เอาน้ำสีชมพู ที่บรรจุอยู่ในขวดขนาดย่อมมีเงินๆ ทองๆ ซึ่งมีช่องแคบๆ ให้เหล้าไหลออกมาได้ทีละนิดเทรดบนใบหน้า เครา และมือ พวกบาญาณยังต้องการแสดงการต้อนรับที่ดีต่อไปอีกโดยให้เราขยับเข้าไปใกล้เครื่องดนตรีต่างๆ ของพวกเขา แต่เรามิได้รื่นเริงไปด้วยเลยตรงกันข้ามกลับรู้สึกเจ็บปวดที่สุดกับความงมงายและเวทนาในความง่ายดายของคนพวกนี้ เราขออนุญาตกลับมายังที่พักเพื่อจัดการกับภารกิจของเราซึ่งพวกเขาก็ตอบตกลงด้วยความเสียใจ เราปล่อยให้พวกเขาประกอบพิธีกรรม อันอึกทึกต่อไป ซึ่งดูจะเป็นการรื่นเริงมากกว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา
ข้าพเจ้าคิดว่าก่อนจะเล่าถึงการเดินทางเราควรแนะนำข้อปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ในการเดินทางแก่ผู้ที่ต้องการเดินตามเส้นทางที่เราใช้ สิ่งแรกคือ ลงเรือที่เมืองมาร์เซย์ ซึ่งที่นี่จะมีเรือที่แล่นออกไปประเทศซีเรีย ทุกๆ เดือน แม้เราจะสามารถออกจากฝรั่งเศสได้ทุกเวลา แต่การเสวนาหาความสะดวกสบายที่สุดในประเทศทางตะวันออกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ มิฉะนั้นแล้วเราจะได้พบกับสิ่งที่ไม่สะดวกอย่างที่สุดนั่นคือ ความร้อนเกินขนาดที่มีอยู่ทั่วไปในดินแดนแถบนั้น ระหว่าง ๔-๕ เดือนในแต่ละปี ฤดูกาลที่เหมาะที่สุดในการแล่นเรือออกจากเมืองมาร์เซย์คือเดือนกันยายน เราจะใช้เวลาเดินเรือ ๑ เดือน ไปจนถึงเมืองอเล็กซองแดรต จากที่นั่นก็ต่อไปยังเมืออาเลปที่ซึ่งเราจะหยุดพักเพื่อคอยกองคาราวานที่จะไปเมืองบาบีโลน จากเมืองอาเลปถึงบาบีโลนปกติจะใช้เวลา ๖ สัปดาห์ แต่เราจะใช้เพียง ๑ เดือน เราพักอยู่ที่บาบิโลน ๑๕ วัน ก่อนจะมีโอกาสล่องเรือบนแม่น้ำไทกริสเพื่อไปยังเมืองบัฟฟอราโดยใช้เวลา ๑๕ วัน ซึ่งก็ตกประมาณเกือบสิ้นเดือนมกราคม จากเมืองบัฟฟอราเราจะสามารถเดินทางต่อไปประเทศคองโก ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโคโมรอนโดยใช้เวลาเดินทาง ๔ วัน ได้อย่างสะดวก และบ่อยครั้งที่เราสามารถเดินเรือไปโคโมรอนโดยใช้เวลา ๑๕ หรือ ๑๖ วัน ที่นี่เป็นที่แน่นอนได้ว่าจะมีเรือของโปรตุเกส อังกฤษ ฮอลันดาและมัวร์แล่นผ่านมาทุกปี และตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเมษายนจะมีเรือฝรั่งเศสที่จะไปเมืองสุหรัตผ่านมา แต่น้อยมาก อย่างไรก็ตามพวกเขาจะต้องมาถึงเมืองสุหรัตก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคม เพราะท่าเรือทุกแห่งในหมู่เกาะอินเดียจะปิดหมดในช่วง ๔ เดือนถัดมา เนื่องจากการเดินเรือในทะเลช่วงนั้นมีอันตรายมาก และเรืออัปปางได้ง่าย นอกจากความสะดวกสบายในการเดินทางครั้งนี้ที่ดูเหมือนง่ายดายและแน่นอนแล้ว ยังมีความสะดวกสบายอีกอย่างหนึ่งที่เราถือว่ามีน้ำหนักมากกว่านั่นคือ การเดินทางไปกับชาวเวนิชผู้เรืองนามของเราที่เคยกล่าวถึงแล้วในตอนต้นซึ่งทุกๆ ปีเขาจะออกเดินทางจากดินแดนที่อยู่ห่างจากเมืองทริโปลีประเทศซีเรียโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ วันเต็ม เพื่อไปใช้ชีวิตและปฏิบัติหน้าที่นายร้อยโทกองทหารปืนใหญ่ในกรุงแบกแดด เขาจะออกเดินทางอย่างช้าที่สุดวันที่ ๑๕ ตุลาคมของแต่ละปีและไปถึงที่นั่นต้นเดือนพฤศจิกายน รวมเวลาประมาณ ๒๐ วัน ดังนั้นถ้าเดินทางร่วมกับเขา เราจะไปถึงเมืองบัฟฟอราเดือนธันวาคม และถึงเมืองโคโมรอนหรือออร์มุส หรือบันดาราบัซซี ซึ่งเป็นเมืองเดียวกันหมด ประมาณเดือนมกราคมและในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการลงเรือไปประเทศจีน เราก็มาถึงเมืองสุหรัต ใครก็ตามที่ต้องการไปกับโตปิกีผู้นี้ก็เพียงแต่ทำจดหมายแนะนำตัวมาก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี และได้รับประโยชน์มากมาย คือความปลอดภัย การไม่ต้องใช้ล่ามเลย การไม่ต้องลำบากจัดหาเสบียง การไม่ต้องจ่ายค่าขนอนเลยโดยมีเพียงของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับโตปิกี เพราะเราจะอยู่ในฐานะเหมือนเป็นผู้ติดตาม โตปิกีเองก็รู้สึกเป็นเกียรติและพอใจที่จะเป็นเพื่อนกับชาวฝรั่งเศสรวมทั้งเป็นผู้รับใช้ที่แสนสุภาพของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส
ผู้ที่มาถึงเมืองอเล็กซองแดรต จะไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเลยจนกว่าจะถึงเมืองอาเลป ในบรรดาผู้ที่ร่วมเดินทางมากับเราครั้งนี้ผู้ที่แต่งกายสะอาด และมั่นใจมากที่สุดในการเดินทางจากเมืองอาเลปจนถึงแบกแดด คือ ชาวนาตุรกีคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ใช้จ่ายน้อยที่สุด นักเดินทางจะต้องมีล่ามไปด้วยโดยล่ามจะช่วยนำของทุกอย่างผ่านเข้าไปให้ในชื่อของตนไม่ว่าจะเป็นสัมภาระต่างๆ หรือของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ แต่การที่จะได้ล่ามที่ซื่อสัตย์สักคนหนึ่ง เช่นที่หัวหน้ากองคาราวานต้องการจะต้องใช้อำนาจหน้าที่ของกงสุลฝรั่งเศสซึ่งเป็นกงสุลของชาวเวนิช และฮอลันดาด้วย ดังนั้น ล่ามจึงกลายเป็นบุคคลที่สำคัญมาก นอกจากนี้ถ้าเราไม่อยากเป็นธุระในเรื่องเงิน สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดซึ่งควรนำไปในการเดินทางคือ อำพันทองสุกสว่าง และพลอยเม็ดโตสีแดงเข้ม ซึ่งบาทหลวงพื้นเมืองมักจะนำติดตัวไปด้วยโดยตัดออกเป็นชิ้นๆ และขายไปเมื่อมีโอกาส ทั้งนี้เพราะเงินยุโรปจะใช้ไม่ได้ แต่ถึงแม้จะใช้ไม่ได้ เราก็สามารถหากำไรจากเงินนี้ได้เสมอ เราจะหลีกเลี่ยงด่านขนอนได้เกือบทุกแห่งโดยซ่อนเงินไว้ในอานม้าหรือกระเป๋าเดินทาง เงินที่ควรนำไปด้วยคือ เงินเปียสต์ของสเปนซึ่งมีค่าเท่ากับหนึ่งเอกูที่เมืองมาร์เซย์ อเล็กซองแตรตอาเลป และแบกแดด แต่ไม่ใช่ที่บัฟฟอราซึ่งมีการชั่งน้ำหนักอย่างเที่ยงตรงมาก ถ้าเราแลกเงินเปียสต์สเปนที่เมืองอาเลปและแบกแดด จะได้กำไร ๗-๘% แต่ไม่ใช่เงินเปียสต์ของเปรูเพราะมีคุณภาพไม่ดีพอ ส่วนเงินหลุยส์ ถ้าแลกที่บัฟฟอรา จะได้กำไร ๑๐%
สำหรับทองนั้น เป็นที่รู้กันว่าเหรียญเซแกงของเวนิช และฮังการีจะทำให้เราได้กำไรมาก เช่นที่เมืองลิยิง เราจะได้ ๖ลิวร์ ๓ ซอล แต่เราไม่ได้แลกเพราะรู้ว่าที่ตุรกีเหรียญเซแกงเวนิชมีคุณค่าเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามถ้าเราแลกที่อาเลปและบัฟฟอรา จะได้ ๗ ลิวร์ หรือ ๗ ลิวร์ ๑๐ ซอล
ความรู้เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินในดินแดนแถบที่สำคัญมาก เราจะได้เห็นชาวฝรั่งเศสและชาติอื่นๆ มีกำไรจากการแลกเปลี่ยนมากกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากยุโรปมาเมืองบัฟฟอราเสียอีก แต่จะมีเฉพาะผู้ที่เคยอยู่ในดินแดนแถบนี้เท่านั้นที่รู้ เราปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้จากปารีสคือ นำเงินปิสตอลของสเปนมาแลกที่อาเลปและบัฟฟอรา แต่ปรากฏว่าขาดทุนไปปีสตอลละ ๑๐ ซอล เรายังมีข้อแนะนำอื่นๆ อีกมากที่อาจเขียนไว้ ณ ที่นี้ได้ แต่ทุกคนจะได้เรียนรู้ในไม่ช้าเมื่อได้ไปถึงที่นั่นแล้ว อย่างไรก็ตามควรนำอาวุธดีๆ จากฝรั่งเศสไปด้วยเพราะจำเป็นในการไปอยู่ในประเทศ ที่วุ่นวาย โดยเฉพาะการเดินทางไปกับกองคาราวาน และระหว่างพักอยู่ในที่พักแรมกลางแจ้งในแต่ละวัน ปืนยาวเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและให้ประโยชน์มากที่สุดซึ่งเรามักใช้ในตอนกลางคืน เพื่อขับไล่พวกอาหรับที่จะเข้ามาปล้นสดมภ์ เราบอกได้ว่าชาวคริสต์และคณะมิชชันนารีจะสามารถสวดมนต์ได้อย่างอิสระในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งแทนที่ชาวตุรกีจะมองเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี พวกเขากลับชักชวนให้เราสวดมนต์เวลาเดียวกับที่พวกเขาสวด โดยไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายใดๆ เลย แม้ว่าจากภายนอกการสวดของพวกเขาจะดูน่าอับอายมากกว่าการสวดของเราก็ตาม.
จาก...หนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปากรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓o