เขียน โดย ... บาทหลวง ฌอง เดอ บูรซ์ (Jean de Bourges)
เราเดินทางมาถึงท่าเรือเมืองสุอะลี (Süali) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสุหรัตโดยใช้ระยะเดินทาง ๔ หรือ ๕ วัน เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ข้าพเจ้าแวะลงพร้อมกับกงสุลอังกฤษ และเดินทางต่อไปยังเมืองสุหรัตเร็วที่สุดเพื่อหารือกับนักบวชคณะคาปูซีน หาลู่ทางหลีกเลี่ยงระเบียบอันเข้มงวดของนายด่านขนอนเมืองนี้ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้ากับพ่อค้าอังกฤษ ๒-๓ คน จะเข้าไปในด่าน พวกนายด่านก็ตรงเข้ามาตรวจเช็คเราอย่างละเอียด โดยไม่มีซอกใดมุมใดหรือที่ใดอีกแล้วในตัวเราที่ไม่ถูกค้น พวกเขาแทบจะสั่งให้เราถอดเสื้อผ้าออกเพื่อตรวจค้นได้สะดวกขึ้น ก่อนที่เราจะส่งหีบให้พวกเขาก็คว่ำหีบนั้นเสีย แรกสุดก็ตรวจดูเท่านั้นหลังจากนั้นก็เทของในหีบกระจายออกมา และตีราคาตามความพอใจของตนโดยมีเลขาคนหนึ่งทำหน้าที่จดบันทึกสิ่งของที่ต้องจ่ายภาษี พวกเขาตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนและตัดสิ่งของเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแม้แต่สบู่ด้วย เกรงว่าจะมีการซ่อนเพชรนิลจินดา หรือไข่มุกที่ต้องจ่ายภาษีให้ไว้ ทางแก้ทางเดียวคือยอมทนหรือไม่ก็ให้เพื่อนแอบนำของที่มีค่าของคุณจากเมืองสุหรัตโดยใช้เส้นทางอ้อม
พวกเขาเรียกเก็บภาษี ๔% เป็นทองในลักษณะของเหรียญกษาปณ์หรือไม่เป็นเหรียญกษาปณ์ ๒% เป็นเงิน ๔%เป็นสิ่งของมีค่า ถ้ามีของบางสิ่งสะดุดตา พวกเขาจะเก็บมันไว้หรือคืนให้เท่าที่พวกเขาต้องการ ในโอกาสนี้เองที่เรายอมปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระเยซูเจ้า คือ ถ้าพวกเขาตรวจค้น จงอย่าขัดขืน
ทันทีที่มาถึงเมืองสุหรัต เราได้เข้าพบนักบวชคณะคาปูซินชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นมิชชันนารีคณะเดียวที่ประจำอยู่ที่นี่ เมื่อทราบว่าเราเป็นใคร พวกท่านก็เริ่มช่วยเหลืองานของเราทันที โดยให้นักบวชองค์หนึ่งขอยืมรถม้าจากผู้บัญชาการกองทัพเรือชาวฮอลันดา ด้วยคำแนะนำและเกียรติของผู้บัญชาการ ทำให้เราสามารถเลี่ยงระเบียบข้อบังคับส่วนหนึ่งของด่านขนอนโหดแห่งนี้ได้ ต่อมานักบวชผู้นี้ได้นำเราไปพักที่บ้านเมตตาจิต (Hospice de charite) ซึ่งมีไว้สำหรับมิชชันนารีทุกคนที่เดินทางไปมาระหว่างหมู่เกาะอินเดีย
เรารู้สึกชื่นชมการสนทนาเรื่องศาสนา และการเผยแพร่พระศาสนาของนักบวชคณะคาปูซีนมาก นักบวชเหล่านี้ทำงานแพร่ธรรมอยู่ที่เมืองสุหรัตหลายปีมาแล้ว และเป็นที่ยกย่องของทุกหมู่ชนแม้แต่ชาวอังกฤษและฮอลันดา สิ่งที่ทำให้ทุกคนเคารพนับถือมากก็คือ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความหมั่นเพียร การเป็นตัวอย่างที่ดี และการออกห่างจากเรื่องทางโลกของบรรดานักบวชเหล่านี้
ในระหว่างนั้น พระสังฆราชแห่งเบริธได้รับทราบความเห็นจากเมือง (Gao) เรื่องที่โปรตุเกสสั่งให้เจ้าผู้ครองนครทั้งหลายในแถบหมู่เกาะอินเดียวจับและส่งพระสังฆราชฝรั่งเศส ๓ องค์ ไปยังเมืองลิสบอนในทันที
แต่ช่วงนี้ มิได้กระทบกระเทือนพระสังฆราชแห่งเบริธเลย เพราะท่านไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านดินแดนในครอบครองของโปรตุเกส และอีกประการหนึ่งท่านเองก็ได้เตรียมการล่วงหน้าต่อเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันไว้แล้ว
มีหลายคนที่หวาดกลัวคำสั่งนี้จึงต้องการข่มขู่พระสังฆราช แต่ท่านไม่สนใจโดยเชื่อว่าเพราะพระศาสนจักรได้ประทานมิสซังในประเทศจีนให้แก่ท่านแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องยอมรับความลำบากทุกอย่างในการไปให้ถึงที่นั่น และไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อยว่าพระเป็นเจ้าจะทรงคุ้มครองท่านจากฝ่ายตรงข้ามที่คุกคามท่านอยู่แล้ว
ช่วงเวลานั้น เราได้ทราบว่ากษัตริย์โปรตุเกสทรงมีพระบัญชาถึงบุคคลบางคนในประเทศหมู่เกาะอินเดียแล้วโดยอ้างว่า การที่บุคคลอื่นเข้ามาเผยแพร่ศรัทธาในหมู่ชาวเอเชียเป็นการสบประมาทชาติโปรตุเกส เพราะสิ่งที่โปรตุเกสกระทำในอันที่จะก่อตั้งพระศาสนจักรในดินแดนแถบนี้ดูสมควรได้รับสิทธิที่จะทำหน้าที่นี้ต่อไปเพียงชาติเดียว
แต่ไม่ใช่หน้าที่ที่ข้าพเจ้าจะวิจารณ์คำกล่าวอ้างนี้ ในที่นี้ข้าพเจ้ารู้ว่าจะต้องเคารพทุกๆ สิ่งที่มาจากประเทศมหาอำนาจ ข้าพเจ้าจะพูดเพียงว่า ผลที่ได้จากการเรียกร้องสิทธิครั้งนี้อาจให้ผลดีต่อชาตินั้นๆ ได้แต่ก็อาจสร้างผลเสียต่อความก้าวหน้าของศรัทธาในขั้นต่อไปได้เช่นกัน ประสบ การณ์ชี้ให้เห็นเพียงว่า จากตัวอย่างที่ไม่ดีต่างๆ นั้น อุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่ชาติๆ เดียวเผยแพร่ความศรัทธาให้กับพวกนอกศาสนาที่ไม่ยอมรับอะไรเลย เพราะคนเหล่านี้มักขับไล่และเนรเทศนักแพร่ธรรมออกไป ซึ่งมิใช่เพราะความเกียดชังศาสนานั้นๆ แต่เกลียดชังชาติที่ส่ง นักแพร่ธรรมนั้นเข้ามา นี่คือสาเหตุของความมืดมน ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจึงทรงมีอิสระในการส่งนักแพร่ธรรมที่เหมาะสมที่สุด ตามโอกาสที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ได้มายังบรรดาประเทศนอกศาสนา ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ที่ชอบด้วยกฎหมาย พระองค์ทรงเรียกบรรดาพระสังฆราชชาวฝรั่งเศสมาสู่หมู่เกาะอินเดียในระยะหลังนี้เอง และทรงสนับสนุนให้พระสังฆราชทุกองค์พยายามต่อสู้กับเหล่าศัตรูท่านกลางภยันตรายนานัปการ จากข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดนี้ทำให้รู้ว่าพระเป็นเจ้าทรงปรารถนาให้มีการเปลี่ยนศาสนาประชาชนในมหาอาณาจักรจีน ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดประตูให้แก่บรรดาพระสังฆราช ได้ทำการแพร่ธรรมแล้วดังที่จะเห็นก้าวต่อไปของการดำเนินการ
ระหว่างที่พวกเราพักอยู่ที่เมืองสุหรัต นักบวชคณะคาปูซีนได้เชิญพระสังฆราชแห่งเบริธ มาทำน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ และประกอบพิธีโปรดศีลกำลังให้กับคาทอลิก ๑๒๐ คน รวมทั้งทำพิธีโปรดศีลล้างบาปให้แก่คนนอกศาสนา ๓ คน
เพื่อเป็นแนวทางแก่นักเดินทางทั้งหลาย เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาทองในประเทศหมู่เกาะอินเดียแตกต่างจากประเทศเปอร์เซียคือถ้าเราแลกเหรียญทอง ๑ ปิสตอล ในเปอร์เซียจะขาดทุน ๒๓ ซิล ๖ เดอนิเยร์ ซึ่งถ้าแลกในหมู่เกาะอินเดียจะได้กำไร ๓ ซอล
สุหรัตเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งที่ร่ำรวยจากการค้า เป็นเมืองที่มีคนหลั่งไหลมาจากทุกหนแห่ง ทุกๆ ปี อังกฤษจะส่งเรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการเดินทางหรือส่งหีบห่อสิ่งของต่างๆ มาที่นี่ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง ๖ หรือ ๗ เดือนเท่านั้น และการเดินทางไม่ยากลำบากใดๆ แม้ว่าเมืองนี้จะมีพ่อค้าร่ำรวยอาศัยอยู่มากมาย แต่เมืองนี้ก็ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ดีนักและไม่ได้รับการดูแลรักษา จึงทำให้เกิดสิ่งปรักหักพังมีนายทหารสัญชาติมองโกลคนหนึ่งชื่อ ชีวายี (Sivagi) ซึ่งพยายามก่อกบฏขึ้นหลายปีมาแล้ว เมื่อปีที่แล้วเขาได้ทำลายเมืองสุหรัตซึ่งคาดว่าความเสียหายที่เขาก่อขึ้นในครั้งนี้ประเมินค่าได้ ๓๐ ล้าน แต่บ้านของชาวฮอลันดาและอังกฤษซึ่งก่อสร้างอย่างแข็งแรง และมีเครื่องใช้อยู่พร้อมเพรียงรอดพ้นจากความบ้าคลั่งของนายทหารผู้นี้ เนื่องจากมีการป้องกันไว้อย่างดี
เป็นการยากที่จะพูดถึงศาสนาในหมู่เกาะอินเดียได้อย่างถูกต้องเพราะมีนิกายต่างๆ มากมายกษัตริย์คนในราชสำนัก ขุนนางเกือบทั้งหมดล้วนนับถือศาสนาอิสลาม ส่วนคนอื่นๆ เป็นพวกนอกศาสนาและบูชาเคารพเทวรูป แม้ผู้ที่ฉลาดที่สุดในบรรดาเหล่านี้ก็ยอมรับการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าและเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ทรงประทานสรรพสิ่งต่างๆ ให้ แต่พวกเขาก็ไม่ละทิ้งการประกอบพิธีบูชาเทวรูป ดูน่าสะพรึงกลัว ที่เมื่อเราเข้าไปในโบสถ์แล้วได้เห็นเทวรูปแปลกๆ เป็นรูปสัตว์นานาชนิดและไม่รู้ว่ารูปสัตว์ตัวใดแปลกที่สุด หรือการที่ได้พบแท่นบูชามีสัตว์ซึ่งหัวเป็นหมู่ป่า เขาเป็นเขาวัว หางเป็นหางจระเข้ และเท้าเป็นเท้าสัตว์ในเทพนิยายตั้งอยู่หรือการที่ได้เห็นประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาแสดงความคารวะรูปปั้นน่าเกลียดซึ่งคงจะยิ่งเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้นหากมันขยับเขยื้อนหรืออย่างน้อยแสดงท่าทางว่ามีชีวิตขึ้นมา
ศาสดาที่มีชื่อเสียงที่สุดของพวกเขาคือ ราม (Ram) บ้างนับถือรามราวกับเป็นพระเป็นเจ้า บ้างยกให้เป็นเทวรูปธรรมดาและกล่าวว่าตนนับถือพระเป็นเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวบุคคล เมื่อเวลาทักทายกันพวกเขาจะเอ่ยชื่อรามผู้นี้
พวกเขาเคารพต้นไม้บางชนิดที่มีลักษณะค่อนข้างแปลกมากคือ มีกิ่งก้านยาวย้อยลงสู่ดินจนกลายไปเป็นรากให้แก่ต้นอีกต้นหนึ่งงอกขึ้นมา และมีลักษณะเหมือนกัน คือชูกิ่งก้านขึ้นไปและย้อยลงมาแบบเดียวกัน ดังนั้นกิ่งก้านมากมายของต้นแรกจึงสามารถสร้างป่าขึ้นได้ ซึ่งพวกนอกศาสนาเชื่อกันว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่
มีสถานที่มีชื่อเสียงมากบางแห่งที่พวกเขาจะพากันไปจาริกแสวงบุญโดยเฉพาะที่แม่น้ำคงคา (Le Gange) ซึ่งเชื่อว่าน้ำในแม่น้ำนี้สามารถชำระบาปได้ ที่เมืองเบงกาลี (Bengale) มีเทวรูปที่มีชื่อเสียงอยู่องค์หนึ่งซึ่งเพียงแต่เราเดินทางไปที่นั่นก็นับว่าได้บุญเพียงพอแล้ว บางวันมีการทำพิธีพิเศษสักการะเทวรูปนี้อย่างงมงาย และบ้าคลั่งมาก จนถึงกับว่าเมื่อแห่เทวรูปองค์นี้ออกมายังที่สาธารณะ ประชาชนเหล่านี้จะรู้สึกเป็นสุขที่ได้กระโจนเข้าไปอยู่ใต้วงล้อเกวียนที่ใช้แห่ เพราะเชื่อว่าตนจะเป็นผู้โชคดีที่สุดในโลก หากได้รับบาดเจ็บหรือถูกล้อเกวียนบดบ้าง พวกเขามีกลุ่มคนร่วมประกอบพิธีกรรมนี้หลายกลุ่ม ซึ่งก่อตั้งโดยบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย เราได้พบปะสนทนากับกลุ่มคนที่บูชาเทวรูปกลุ่มหนึ่งที่เมืองสุหรัต ซึ่งการสนทนาครั้งนี้ดูเหมือนจริงใจและอ่อนโยน กลุ่มคนเหล่านี้มีการฝึกปฏิบัติตนและช่วงเวลาสำหรับทำสมาชิกที่สม่ำเสมอ แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าการสูบยาเส้นขณะทำสมาธินั้นจะเป็นการพักผ่อนอิริยาบท
คำสอนของพวกเขานั้นสอดคล้องกับหลักแห่งความยุติธรรม เช่น ไม่ทำผิดต่อผู้อื่น มีความเมตตา ถือศีล ๕ เกรงกลัวต่อบาป ชำระล้างความคิดที่เลวร้ายให้หมดไปจากจิตใจ ตั้งใจสวดมนต์ โดยเฉพาะห้ามฆ่าสัตว์
พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีอะไรเลวร้ายยิ่งไปกว่าการคร่าชีวิตสัตว์ ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ และเราไม่สามารถคืนชีวิตให้ได้หลังจากที่คร่ามาแล้ว เรายากจะเชื่อว่าความง่ายดาย และการเชื่อโชคลางในเรื่องนี้พวกเขาจะไปถึง ณ จุดนี้ได้ พวกเขามักกลั้นลมหายใจบ่อยๆ ด้วยเกรงว่าจะสูดเอาแมลงที่ไม่มีพิษร้ายที่บินไปมาใกล้ปากเข้าไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ต้องการจุดไฟเพราะเกรงว่าแมลงซุ่มซ่ามจะบินมาถูกไฟเผาตาย บางคนก่อนนั่งจะเช็ดบริเวณนั้นอย่างถี่ถ้วนเพื่อปัดไล่แมลงและแม้แมลงตัวเล็กๆ ให้ห่างออกไป
หนึ่งในบรรดาข้อปฏิบัติที่ดีที่พวกเขายึดถือกันเป็นครั้งคราวคือ การจ่ายเงินซื้อชีวิตสัตว์ที่ชาวคริสต์และมุสลิมตั้งใจนำไปประกอบอาหาร ในวันที่มีพิธีกรรมนี้พวกเขาจะไปพบเจ้าผู้ครองนครเพื่ออกคำสั่งห้ามการฆ่าสัตว์ทุกชนิดเป็นระยะยาว ๘ วัน เมื่อไม่มีเงิน ชาวโปรตุเกสจะจับนกแล้วถือเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับพูดว่าจะย่างกินเป็นอาหารเย็น คนดีๆ ซึ่งเชื่อโชคลางเหล่านี้จะรับซื้อนกนี้ไป พวกเขาดำรงชีวิตอย่างสมถะ และมีร่างกายซูบผอม กินเพียงข้าวสาร ต้นหญ้าและผัก
นิกายส่วนใหญ่ของเขาแตกต่างกันไม่เฉพาะมีคำสอนและพิธีกรรมที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ความเข้มงวดก็แตกต่างกันด้วยซึ่งจากลักษณะภายนอกต่างก็ถูกกำหนดไว้อย่างละเอียด เพื่อให้รู้ว่านิกายใดเป็นอย่างไร มีบางนิกายสร้างกฎให้รับประทานอาหารเฉพาะที่จัดเตรียมด้วยตัวเองซึ่งมีวิธีการทำอย่างชัดเจน และตลกมากจนกระทั้งข้าพเจ้าไม่กล้านำมากล่าว เพราะว่าต้องทำในสถานที่บางแห่งและจะเป็นที่อื่นไม่ได้อีก ทั้งต้องไม่ให้ใครเห็นพวกเขาจะถูกกักอยู่ในวงกลมที่กำหนดเขตไว้ให้ ระหว่างที่เตรียมการรับประทานอาหารนี้พวกเขาจะไม่กล้าออกนอกวงกลมนี้เลย ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงเรื่องอื่นอีกด้วยเกรงว่าจะให้ผู้อ่านเบื่อหน่าย
ในบรรดานิกายทั้งหมด นิกายของพวกพราหมณ์เป็นที่นับถือมากที่สุด เพราะเข้าถึงจิตใจได้มากที่สุด ขุนนางระดับหนึ่งนับถือนิกายนี้และยกย่องอยู่เหนือนิกายอื่นๆ เพื่อให้นิกายนี้เป็นที่รู้จักจึงกำหนดให้มีสัญลักษณ์พิเศษคือ เสาและธงสีชาวซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่พวกเขาอวดอ้างว่าต้องรักษาไว้ ถ้าต้องบรรยายรายละเอียดลักษณะเฉพาะของทุกนิกายเหล่านี้ เช่น การดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัดของนิกายหนึ่ง หรือการถือสมถะอย่างเกินขอบเขตของอีกนิกายหนึ่งที่เต็มไปด้วยการโอ้อวด ซึ่งแต่ละนิกายต่างแข่งขันอวดอ้างกันอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าก็คงจะไม่ต้องบันทึกอะไรอีกเลย เราสังเกตเห็นสิ่งนี้ได้ดีเพราะเมื่อมาขอทานจากเรา คนจนโดยสมัครใจเหล่านี้ดูเหมือนข่มขู่เราด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง เจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งปกครองดินแดนที่ในปัจจุบันอยู่ในอาณาจักรมองโกลทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขามีความคิดเช่นใดต่อบรรดานักบวชผู้ขอทานทั้งหลายนี้ อุปมาเหมือนโอรสองค์หนึ่งของพระจักรพรรดิ์ และทรงอวดอ้างว่าเคยเป็นนักพรตอยู่หลายปี นักพรตคือผู้ที่ตัดขาดจากทางโลกแล้ว แต่ในที่สุด รู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยช่วงชิงอาณาจักรมาจากพระเชษฐาทั้งสาม และทรงพบหนทางที่จะรับความช่วยเหลือจากนักบวชนิกายต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตด้วยการขอทาน และอย่างยากจนได้ พระองค์ได้สร้างกองทัพขึ้นและทรงประสบความสำเร็จตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้ ปัจจุบันพระองค์ได้ครอบครองรัฐใหญ่ๆ เหล่านี้ที่เรียกกันว่าหมู่เกาะอินเดีย แต่ดูจะเป็นการออกนอกเรื่องเกินไป ข้าพเจ้าจะเล่าถึงเรื่องการเดินทางจากเมืองสุหรัตของเราต่อไป
ที่นั่นเราได้ทราบว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมไปไม่ควรคิดเดินทางไปหมู่เกาะอินเดีย เนื่องจากมีฝนตกชุกมาก จนทำให้ถนนหนทางใช้การไม่ได้เป็นระยะเวลา ๔ เดือน
ก่อนที่จะต้องประสบกับอากาศเช่นนี้ เราจึงรีบเดินทางออกจากเมืองสุหรัต ฝนตกเกือบจะต่อเนื่องกัน แม้ขณะนั้นดวงอาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่งตรงเป็นมุมฉาก แต่ก็จัดอยู่ในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูหนาวที่ต่างจากของเราที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างออกไป ฤดูหนาวของเราทำลายความเขียวขจีต้นไม้ พื้นที่เก็บเกี่ยว และดูเหมือนว่าความรุนแรงของความหนาวเย็น และน้ำแข็งที่ติดตามมาทำให้ธรรมชาติทั้งหมดมืดมัวลงไปด้วย แต่ฤดูหนาวในหมู่เกาะอินเดียวให้ผลที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คือ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นดิน ต้นไม้ผลิใบ และทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้น เราออกจากเมืองสุหรัต เมื่อ วันที่ ๒๑ มกราคม ๑๖๖๒ เราได้ผ่านหัวเมืองต่างๆ ของอาณาจักรมองโกลในช่วงเวลา ๔๑ วันของการเดินทางด้วยเกวียน และวันที่ ๖ มีนาคม เราก็มาถึงเมืองมาสุลีปาตัน (Masulpatan) ได้ทันลงเรือมอร์ ซึ่งขณะนั้นจะเดินทางไปเมืองตะนาวศรี
เราเช่าเกวียน ๔ เล่ม สำหรับโดยสารและบรรทุกสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ มีคนแนะนำให้นำคนใช้ไปด้วย ๒ คน และคนคุ้มกัน ๓ คนไว้ดูแลเราและเกวียนในตอนกลางคืนระหว่างหยุดพักแรมในแต่ละแห่ง ชาวบ้านไม่กล้าต้อนรับชาวคริสต์ในบ้านของตนด้วยกลัวว่าจะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตนเสื่อมเสีย เกวียนที่ใช้กันอยู่ในหมู่เกาะอินเดียมีสภาพดีพอควร มีหลังคาเหมือนรถม้ายุโรป มีล้อเพียง ๒ ล้อติดอยู่ในตัวเกวียนและใช้วัวหนุ่มประเปรียวๆ ซึ่งลากเร็วมากเทียมไว้ ในการบังคับวัว เขาจะผูกบังเหียนไว้ที่รูจมูกซึ่งเจาะไว้ตั้งแต่วัวยังเล็กอยู่
ชาวอังกฤษและฮอลันดาที่มีรถม้าสร้างแบบยุโรปอยู่ในเมืองสุหรัต จะเทียมรถด้วยวัวขายาว และเปรียวๆ มีการประดับเขาวัวด้วยยอดไม้สีต่างๆ และตกแต่งด้วยทอง เงิน และทองแดง เพื่อให้ดูงดงามขึ้น ระหว่างการเดินทางเราต้องทนทรมานกับเรื่องเชื่อโชคลางของชาวอินเดียที่ไม่ยอมขายสัตว์ปีกให้โดยอ้างว่าจะเป็นการคร่าชีวิตสัตว์ ฉะนั้นเราต้องจำใจพอใจกับอาหารพื้นเมืองซึ่งก็สามารถใช้ประทังชีวิตไปได้ในตอนที่เราไม่เจ็บป่วยหมู่เกาะอินเดียมีหมู่บ้านต่างๆ มากมายที่มี ข้าวเจ้า ผัก ผลไม้ และแม้ขนมปังจากข้าวสาลี ในเมืองใหญ่ๆ เราอาจหาซื้อสิ่งอื่นได้ซึ่งชาวมุสลิมมักขายให้ในราคาแพง และมิใช่เฉพาะบนเส้นทางการเดินทางเท่านั้นแม้ว่าพวก Bagnanes จะเคร่งครัด เราก็ไม่อาจหาซื้อเนื้อสัตว์กินได้ เพราะทุกแห่งมีการล่าสัตว์ได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นประเทศในเขตร้อน สัตว์จึงแพร่พันธุ์ได้มาก ประกอบกับพวกนอกศาสนาเชื่อโชคลางจึงยิ่งทำให้เราไม่มีโอกาสสู้รบกับบรรดาสัตว์ทั้งหลายเลย
ระหว่างทาง เราได้เห็นป้อมปราการต่างๆ ซึ่งธรรมชาติและศิลปในการสร้างทำให้ถูกโจมตีได้ยากมาก ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนโขดหินสูงในบริเวณที่ลาดชันมากจนกระทั่งกำแพงเมืองไม่อาจตั้งตรงได้ ในปัจจุบันพวกกบฏชีวายีที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วเข้าครอบครองป้อมปราการส่วนใหญ่นี้อยู่
เราผ่านไปยังเมืองโอลตาเบล (Oletabel) ที่สร้างอยู่บนโขดหินสูงรูปทรงกลม พูดกันว่าเมืองนี้มีกำแพงแข็งแรง ๓ ชั้น ล้อมรอบโขดหินไว้ กำแพงชั้นแรกล้อมตัวเมืองและโขดหิน ชั้นที่สองล้อมส่วนหนึ่งของเมือง และชั้นที่สามล้อมโขดหินส่วนที่อยู่สูงสุดซึ่งอยู่รอบๆ อีกส่วนหนึ่งของเมืองเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นเมือง ๓ เมืองซ้อนกันอยู่ เมืองที่อยู่สูงสุดปกป้องเมืองที่สองและเมืองที่สองปกป้องเมืองที่สาม บนโขดหินนั้นจะมีร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งเตรียมเสบียงทุกประเภทไว้พร้อม
เรามาถึงเมือง โนแรงกาบาล (Noringlbal) ถ้าความกว้างเท่ากับความยาวของเมืองซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางผ่านตลอดถึง ๔ ชั่วโมง เมืองนี้ก็จะใหญ่กว่ากรุงปารีสแน่นอน
เราพักอยู่ที่นั่น ๑ วันเพื่อทำใบเบิกทางใหม่และเราไม่ต้องเสียอะไรเลย แม้จะได้เสนอขอจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ที่บริการเราด้วยท่าที่สุภาพอ่อนโยนก็ตาม
ในสถานที่นี้ข้าพเจ้าอดที่จะสังเกตความเรียบร้อย และความมีระเบียบวินัยของกองทหารอาสาสมัครชาวมองโกลไม่ได้ เราตั้งค่ายพักแรม ๑ คืนอยู่ท่ามกลางกองทหารม้าจำนวน ๕ พันคน ความจริงน่าจะมีการว่ากล่าวเราในฐานะเป็นคนต่างชาติบ้าง แต่ปรากฏว่าเราไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่ต้องสูญเสียอะไรเลย แม้แต่ฝูงสัตว์ของเรา นอกจากนี้ยังได้พักผ่อนอย่างปลอดภัยอยู่ท่ามกลางกองเกวียน ตรงทางออกจากเมือง ทหารที่เฝ้ายามอยู่วิ่งตามเราออกมาด้วยสงสัยว่าเราเป็นไส้ศึกเนื่องจากเราไม่ได้แสดงใบเบิกทางให้ดู แต่หลังจากแสดงใบเบิกทางแล้ว พวกเขาก็ปฏิบัติต่อเราเยี่ยงสุภาพชน และรู้สึกพอใจกับของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ
เรามาถึงเมืองเดแดร์ (Deder) แต่เมืองนี้เป็นเมืองสำคัญและเป็นเมืองหน้าด่านของรัฐมองโกล ที่ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปได้ เมืองนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงมีกำแพงเมืองสูงและสวยงาม มีบ้านเรือนอยู่เต็มไปหมด กำแพงเมืองแต่ละด้านมีปืนใหญ่และท่อนเหล็กหลอมขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ จากทุกๆ เมืองที่เราสังเกตมา เมืองนี้มีระเบียบมากที่สุด เราต้องจ่ายเงินเพื่อนำเกวียนแต่ละเล่มเข้ามา เราเข้ามาในรัฐต่างๆ ของกษัตริย์แห่งอาณาจักรกอลกอนดา และใช้เวลาเล็กน้อยอยู่ในเมืองหลวงชื่อเดียวกัน
ชาวต่างชาติมีเสรีภาพมากในดินแดนแห่งนี้ แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องส่งผู้คุ้มกันที่เรานำจากเมืองสุหรัตกลับคืนไปเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของเรา ที่เมืองกอลกอนดาเราต้องจ่ายเงินไปมากเพื่อให้ได้ใบเบิกทาง และนำเกวียนเข้าออกโดยจ่ายไปร้อยละ ๗ ลีวร์ ๑๐ ซอล ของราคาประเมินสิ่งของที่อยู่ในเกวียน
กอลกอนดาเป็นหนึ่งในบรรดาเมืองที่สวยที่สุดของหมู่เกาะอินเดีย สร้างได้ดีที่สุดและมีขนาดใหญ่เท่าเมืองรูออง (Rouen) ตั้งอยู่ในเขตที่อากาศบริสุทธิ์ ถนนหนทางตรงและกว้าง บ้านเรือนเกือบมีขนาดทัดเทียมกันหมด ใจกลางเมืองมีสิ่งก่อสร้างของกษัตริย์ สำหรับเหล่าสนมที่ถูกกักขังอยู่เยี่ยงทาสโดยไม่เคยได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้เลย วังแห่งนี้ถูกสร้างไว้อย่างดี เป็นตึก ๓ ชั้น เสรีภาพอย่างเดียวที่นางสนมเหล่านี้ได้รับคือ การได้นั่งพินิจดูถนนสายใหญ่ของเมืองและทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปมาบนถนนนี้
ไกลออกไปจากสะพาน เราจะเห็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ซึ่งดูงดงามยิ่ง ตั้งอยู่บนเนิน มีคนบอกว่า ประตู กลอนประตู และลูกกรงทำด้วยทองแท่ง สิ่งนี้เชื่อได้ว่าเป็นความจริง เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นเจ้าของเหมืองเพชรพลอยที่สร้างความร่ำรวยให้ได้เท่ากับบรรดากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
เหมืองเพชรแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองกอลกอนดา โดยใช้เวลาเดินทางผ่านดินแดนและเทือกเขาที่แห้งแล้งทุรกันดาร ๓-๔ วัน วิธีการขุดหาเพชรนั้นจะต้องขุดเอาดินสีค่อนข้างแดง มีลายสีขาว และเต็มไปด้วยก้อนกรวดและก้อนหินทรายแข็งขึ้นมา โดยเตรียมดินที่มีสีแตกต่างกัน และวางไว้ใกล้บริเวณที่เราต้องการขุด หลังจากนั้นเอาดินที่ขุดจากเหมืองเทกระจายออก และตากแดดไว้ ๒ วัน เมื่อดินแห้งดีพอประมาณแล้ว ป่นดินให้ละเอียดแล้วร่อน เราจะพบว่าเพชรและก้อนกรวดจะแยกตัวออกจากกันเองโดยธรรมชาติ กษัตริย์แห่งกอลกอนดาตีราคาเหมืองเพชรเหล่านี้ในราคา๖๐๐,๐๐๐ เอกู และมีสิทธิครอบครองเพชรทุกชิ้นที่มีน้ำหนักเกินกว่า ๑๐ การัต เหมืองแต่ละแห่งจะมีทหารเฝ้าดูคนที่ขุดไว้เพื่อป้องกันมิให้โกง พระองค์ทรงเป็นเจ้าของเพชรที่มีน้ำหนัก ๓๕-๔๐ การัต และนี่คือคลังสมบัติใหญ่ของพระองค์
ในเมืองนี้เราจะสังเกตเห็นว่า ในการแลกเปลี่ยนทองที่อาณาจักรกอลกอนดา เหรียญแต่ละ ปิสตอล จะทำกำไรให้เรา ๑๒ ซอลและจะยิ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นอีกสำหรับเหรียญเอกูทอง และเหรียญ เซแกงโบราณของเวนิส.
จากหนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปกรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๐