การเดินเรือจากเมืองมาสุลีปาตันไปเมืองตะนาวศรี

                                                                                                       เขียนโดย บาทหลวง ฌอง เดอ บูรช์ (Jean de Bourges)

 

เราพักอยู่ที่เมืองมาสุลีปาตัน ๒๐ วัน มีชาวคาทอลิกเคร่งศาสนาหลายคน เช่น บาทหลวงเอเฟรม (Ephrem) และบาทหลวงเซนง (Zenon) นักบวชคณะคาปูซีน ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองมัดราสปาตันเมืองหน้าด่านของอังกฤษ ได้เชื้อเชิญให้เราไปเยี่ยมทั้งได้รับรองแก่เราว่า ถ้าเราจะเลื่อนการเดินทางไปจนถึงเดือนสิงหาคมก็จะเป็นการดี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เหมาะ และการเดินทางเรือมีอันตรายน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเรามีความปรารถนาที่จะไปเผยแพร่ศาสนา จึงไม่อาจเลื่อนการเดินทางต่อไปได้ เราจึงลงเรือมอร์ออกเดินทางจากท่าเรือเมืองมาสุลีปาตัน ในวันที่ ๒๖ มีนาคม การเดินเรือเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีพายุ เราเพียงแต่รู้สึกเบื่อหน่ายเงียบเหงา โดยเฉพาะเมื่อตอนเที่ยงอาทิตย์อยู่สูงสุด เราใช้เวลาเดินทางในช่วงนี้ ๓๓ วัน และในวันที่ ๒๘ เมษายน เราก็ขึ้นบกที่เมืองมะริด (Meriguy) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองตะนาวศรี ๑๕ ลิเยอ มีเหตุหลายอย่างที่ทำให้เราต้องขอพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า เพื่อให้การเดินทางของเราเป็นไปอย่างราบรื่น การเดินเรือของเรา ไม่พร้อมดีนัก  เนื่องจากเรือไม่อาจต้านทานพายุที่ค่อนข้างรุนแรงได้ ต้นหนเรือชาวโปรตุเกสของเราไม่ต้องการรับคำสั่งหรือคำแนะนำจากผู้อื่น เพราะเกรงว่าผู้อื่นจะรู้ว่าตนมีความสามารถน้อยและจำต้องมีผู้ช่วย เขาสารภาพกับเราในภายหลังว่า เขาได้เลือกเอาคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเดินเรือมา เนื่องจากกลัวว่าจะมาทำหน้าที่เป็นนายตนแทนที่จะเป็นผู้ร่วมงาน เรือมอร์ไม่สะดวกสบายและทันสมัยนัก นอกจากนี้ทะเลที่เราผ่านไปก็มีพายุจัด และเรือหลายลำเคยอับปางที่นี่

การเดินเรือของเราเป็นไปอย่างเลวร้ายมากทั้งๆ ที่ดินฟ้าอากาศจะเอื้ออำนวย ต้นหนได้คิดนำเรือไปจอดชายฝั่งกลางหมู่เกาะอันดามัน ซึ่งเป็นเกาะมหาภัย ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวในทะเลย่านนี้มาก เนื่องจากความโหดร้าย ป่าเถื่อนของชาวเกาะที่อาศัยอยู่ ขณะเมื่อคนๆ หนึ่งที่รู้จักประเทศแถบนั้นดี มองเห็นภัยที่กำลังประสบอยู่ เรือของเรากำลังแล่นไปทางเหนือสุด ต้นหนเรือรู้สึกหวาดกลัวมาก และจากสายดิ่ง เราก็รู้ว่ากำลังเข้าใกล้แผ่นดินแล้ว ดังนั้น เรือจึงถูกนำย้อนลงสู่ทางใต้ทันที เราผ่านไปท่ามกลางหมู่เกาะเหล่านี้ แต่ถ้าหลงเข้าไปถึงแผ่นดินละก้อ เราจะต้องตายกันทั้งหมดอย่างแน่นอน ชาวเกาะแถบนี้ดุร้ายมาก และสามารถฆ่าหมู่พวกคนต่างถิ่นซึ่งขึ้นฝั่งที่เกาะของตนหรือซึ่งได้ถูกพายุพัดเข้ามาอย่างไร้ความปรานี หลังจากนั้นก็เอาไปกินเป็นอาหาร

มีเรือลำหนึ่งซึ่งออกเดินทางจากเมืองมาสุลีปาตัน พร้อมกับเรือของเราเคยประสบกับความป่าเถื่อนของชาวเกาะนี้มาแล้ว เนื่องจากขาดน้ำและหลงทาง พวกเขาจึงแก้ปัญหาโดยการนำเรือไปยังเกาะใดเกาะหนึ่งในหมู่เกาะเหล่านี้ โดยให้คนที่เข้มแข็งที่สุด ๓๗ คน ลงเรือสลุป (chaloupe) ลำหนึ่งไป ในจำนวนนี้มีชาวโปรตุเกสอยู่ ๓-๔ คน ทันทีที่พวกเขาเหยียบย่างลงบนเกาะ ทหารกองเล็กๆ ของพวกคนป่าตรงมาตะครุบตัวพวกเขาจากเรือสลุปก่อน แล้วทำลายเรือเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นใช้ธนูยิง ถึงแม้ว่าพวกที่มาจากเรือใหญ่จะติดอาวุธอย่างดีแต่ก็ถูกตะลุยฆ่าตายทั้งหมด ถูกย่างและเผาเพื่อสนองความบ้าคลั่งของคนป่าเหล่านั้น มีลูกเรือคนเดียวเท่านั้นสามารถหนีเข้าป่าและว่ายน้ำกลับมาที่เรือได้ในตอนกลางคืน แม้จะเข้าไปใกล้เมืองมะริดมากแล้วก็ตาม แต่เรือขาดน้ำบริโภคและแล่นอยู่เหนือลม จึงเชื่อว่าสามารถกลับไปถึงเมืองมาสุลีปาตันได้ในเวลาที่น้อยกว่า นอกจากนี้เรือฮอลันดาบางลำที่เคยผ่านหมู่เกาะอันดามันนี้ก็ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีไปกว่า เพราะเพียงแต่ทอดสมอเรืออยู่ห่างๆ ก็ต้องตื่นตกใจกับบรรดาเรือเล็กบรรทุกคนป่าติดอาวุธธนูมาระดมยิง และข่มขู่พวกเขาให้ออกไปจากเกาะอยู่ตลอดเวลา

หมู่เกาะอันดามันมีเกาะอยู่มากมาย และมีอาณาเขตจากทิศเหนือจดทิศใต้ตั้งแต่ละติจูดที่ ...ถึง (๑) ทะเลแถบนี้มีเพียงคนป่าโหดร้ายอาศัยอยู่เท่านั้น ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่แถบริมฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งสยาม หรืออ่าวเบงกอลล้วนมีอัธยาศัยและอ่อนโยน โดยต้อนรับชาวต่างชาติและทำการค้าด้วยอย่างอิสระ ในจำนวนเรือ ๔ ลำที่ออกเดินทางจากเมืองมาสุลีปาตันพร้อมเรา มีเพียงเรือของเราเท่านั้นที่รอดพ้นจากอันตรายทั้งหมด ส่วนเรือลำอื่นได้ประสบเคราะห์กรรมแตกต่างกัน

ระหว่างการเดินทาง เราไม่ต้องทนทรมานทางร่างกายเลยนอกจากผจญภัยกับฝนที่ตกหนักและแสงอาทิตย์ที่ตั้งตรงเป็นมุมฉากเป็นครั้งคราว เราต้องต่อสู้กับความร้อนผิดปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เราเศร้าสลดและเจ็บปวดยิ่งกว่า คือ การที่ได้เห็นพวกนอกศาสนา แขกมัวร์ และอื่นๆ เชื่อโชคลางอย่างงมงาย มีการทำพิธีขอลมจากเทพยดา เนื่องจากอากาศร้อนอึดอัด โดยตอนแรกพวกเขาสร้างเรือกำปั่นเล็กๆ ขึ้นลำหนึ่ง มีเชือกขนาดเขื่อง ใบเรือและเสากระโดงเรือ ภายในเรือบรรจุเสบียงไว้เต็ม หลังจากนั้นก็ผลักเรือออกสู่ทะเล และเฝ้าตามดูจนกระทั่งเรือไปลับสายตา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร้องไม่ขาดระยะ เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังพึ่งไสยศาสตร์และหมดผีด้วย โดยติดกระดาษบางอย่างไว้ทั่วเรือ สุดท้ายพวกเขาก็ตั้งกระบวนแห่ทำพิธีโดยมีบรรดาลูกเรือทั้งหมดเข้าร่วมด้วย  แต่ละคนเดินตามกระบวนแห่อย่างเป็นระเบียบ โดยถือกระบองเล็กและเคาะเป็นจังหวะพร้อมกัน   มีชายแก่น่านับถือคนหนึ่งเดินตามกระบวนแห่นั้นไป และจุดเครื่องหอมไว้ที่เสากระโดงเรือทุกเสา ทุกคนยืนเป็นแถวร้องโต้ตอบคำสวดของชายแก่ผู้นั้นด้วยเสียงเพลงที่ไม่น่าฟังนัก และเดินผ่านเข้าห้องทุกห้องในเรือ แต่เราไม่อนุญาตให้เข้าในห้องของเรา โดยให้คำรับรองว่าจะสวดอ้อนวอน พระเป็นเจ้าของเราผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งท้องฟ้าและแผ่นดิน ผู้ทรงประทานทุกสิ่งตามที่พระองค์เห็นสมควร นักบุญฟรังซิส เซเวียร์ ก็เคยต่อสู้กับเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน เราจึงพยายามถวายดวงใจของเราแด่พระเป็นเจ้า ผู้ทรงชีวิตและนิรันดร์อย่างเงียบๆ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเกินกว่า จะกล่าวได้ ที่ได้เห็นการกระทำที่ลบหลู่พระเป็นเจ้าโดยเราไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ นอกจากนี้   เราต้องทนฟังการปฏิบัติ และการสวดวิงวอนต่อพระมะหะหมัดของผู้นับถืออิสลามคนหนึ่งตลอดทั้งคืนและเกือบจะทุกชั่วโมง

อย่างไรก็ตามเราก็ต้องอดทน แต่ก็อดที่จะหวาดเกรงไม่ได้ว่าวิญญาณร้ายที่ครอบงำคนเหล่า นี้ อยู่จะไม่ฝังเข้าไปในหัว จนทำให้พวกเขาคิดว่าเราคือ ผู้ที่ทำให้ลมหยุดและการเดินเรือช้าลง  ถ้าเพียงแต่เราถูกอ้างว่าเป็นเพราะเราลมจึงหยุด เราก็ต้องถูกบูชายันต์ถวายเทพยดาของพวกเขาแน่นอน แต่พระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองเราให้รอดพ้นจากอันตรายนั้นได้ ทันทีที่เรามาถึงเมืองมะริด นายด่านขนอน ซึ่งปักหลักอยู่ที่นั่นเพื่อรักษาผลประโยชน์ตามสิทธิของพระเจ้ากรุงสยาม ได้มาที่เรือของเรา และทำกิจการจดบันทึกถ้อยคำต่างๆ รวมทั้งสินค้าที่อยู่ในเรือ หลังจากนั้นก็ส่งสำเนาสิ่งของทุกสิ่งที่พบให้แก่เจ้าเมือง และแก่นายทหารของเมืองตะนาวศรี ซึ่งออกคำสั่งตามใจชอบ ไม่ว่าเรือจะแล่นขึ้นไปจนถึงเมืองตะนาวศรี หรือจะบรรทุกสินค้าและผู้โดยสารลงเรือเล็ก จำต้องได้รับอนุญาตจากคนเหล่านี้ก่อน ไม่มีใครสามารถเดินทางในแผ่นดินของพระเจ้ากรุงสยามได้โดยไม่มีหนังสือนำของเจ้าเมือง หรือนายทหารประจำเมืองที่เราขึ้นฝั่ง การทำงานของพวกเขาเชื่องช้ามาก ทำให้เรือของเราไม่อาจมาถึงเมือตะนาวศรีได้ก่อนวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เราไปพบบาทหลวง ฌอง คาร์โดซา (Jean Cardoza) นักบวชคณะเยซูอิต สัญชาติโปรตุเกส ซึ่งได้เอื้อเฟื้อส่งเรือเล็กมาต้อนรับเรา วันรุ่งขึ้น เราได้รับอนุญาตให้เก็บสัมภาระที่เจ้าเมือง และนายทหารตรวจค้นอย่างคร่าวๆ แล้วได้ พวกเขาเก็บเพียงลูกประคำทำด้วยเขาสัตว์สีแดงไว้ เนื่องจากคิดว่าเป็นหินปะการัง โดยเรียกเก็บ ๘% เป็นค่าภาษีของพระเจ้าแผ่นดิน แต่เราก็จ่ายให้เป็นสิ่งของไม่ใช่ตามราคาของสิ่งของ การกระทำเช่นนี้ไม่เหมือนที่อื่นๆ คือไม่มีการตรวจค้นและไม่เอาเงิน จึงจ่ายต่อผู้เดินทางที่จะแอบซ่อนที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ จากยุโรปมาเพื่อเป็นของกำนัล เมื่อถึงเวลาจำเป็นได้ ของที่ระลึกที่เรานำไปมีนาฬิกาข้อมือ ๒-๓ เรือน รูปภาพเล็กๆ หนังสือคณิตศาสตร์ ลูกประคำทำด้วยอำพันและหินปะการัง สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อให้คนรู้จักชาวยุโรป เราเสียค่าระวางพาหนะและเครื่องนุ่งห่มทั้งสิ้นตั้งแต่เมืองมาสุลีปาตันจนถึงตะนาวศรีสำหรับคน ๕ คน ประมาณ ๔๒ เปียสต์

หลังจากที่พักอยู่ที่บ้านบาทหลวงคาร์โดซา ผู้รับผิดชอบโบสถ์ ๒ แห่งเนื่องจากผู้ที่เคยรับผิดชอบคนหนึ่งของโบสถ์ ๑ ใน ๒ แห่งนี้เสียชีวิตตั้งแต่มกราคมที่แล้ว เป็นเวลา ๒ วันแล้ว เราจึงย้ายไปพักบ้านของบาทหลวงผู้ล่วงลับตลอดช่วงเวลาที่อยู่เมืองตะนาวศรี เราเห็นสมควรที่จะกล่าวถึงพระสังฆราชแห่งเบริธไว้ในที่นี้ เนื่องจากท่านสังฆราชได้รับเชิญจากบาทหลวงคาร์โดซา และบรรดาชาวคริสต์ที่อยู่ในความดูแลของท่าน ให้มาทำพิธีโปรดศีลกำลังในวันพุธและเสาร์ ระหว่างเตรียมการฉลองวันพระจิต ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากรีบออกเดินทางก่อนกำหนดเสมอ จึงต้องหาช่องทางให้ได้ใบเบิกทางอย่างรวดเร็วโดยต้องยอมจ่ายเงิน ๑๐ เอกู ที่นี้เองที่เราได้ทราบถึงการผจญภัยของเรือซึ่งข้าพเจ้าได้พูดถึงไปแล้ว เรือลำแรกที่ถือคำสั่งและจดหมายจากบรรดาบาทหลวงคณะเยซูอิตสำหรับผ่านทุกๆ เขตได้ต้องอัปปางลง เราเชื่อเช่นกันว่าเรืออีกลำหนึ่งที่ออกเดินทางไปโดยไม่ส่งข่าวคราวมาเป็นเวลานานต้องประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน เรือลำที่สามถูกพายุกระหน่ำและได้รับความเสียหายมาก ส่วนเรืออีก ๒ ลำ  ลำหนึ่งคือเรือของเรารอดพ้นเหตุร้ายทุกอย่างได้ ระยะเวลาช่วงสั้นๆ ที่พำนักอยู่เมืองตะนาวศรี เราได้มองหาลู่ทางว่าเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่จะเผยแพร่ศาสนาในดินแดนนี้ ซึ่งยังขาดสมาชิกอยู่มาก

ประชาชนทั่วทั้งเมืองตะนาวศรีเชื่อเรื่องเทวภูติและบูชารูปปั้น และมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ว่าพระเป็นเจ้าและความสุขนิรันดรนั้นคืออะไร เราไปเยี่ยมพระสงฆ์สำคัญๆ บางรูป ซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า ตาลปวง เราได้ร่วมถกเถียงเกี่ยวกับความเชื่อกับตาลปวงรูปหนึ่งโดยผ่านทางล่าม และพบว่าชายน่าสงสารผู้นี้มีความโง่เขลา ความขัดแย้ง และความเฉาโฉดอยู่ในตัว การเสนอความคิดแต่ละอย่างของเขาเราไม่อาจดึงเหตุผลอื่นมาพูดได้ เพราะเขาอ้างว่าทุกสิ่งเขียนไว้แล้วในหนังสือของพวกเขา นอกจากนี้เขาได้เข้าร่วมฟังสิ่งที่เราพูดเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งในโลกและจักรวาลความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ การสิ้นสุดของชีวิตนี้ และทางที่จะก้าวไปสู่ชีวิตหน้า เขาเล่าว่ารู้สึกสนใจชาวคริสต์และเชื่อว่า ศาสนาคริสต์ดี อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ประนามศาสนาของตนเอง ชาวสยามคิดว่าศาสนาคริสต์นั้นศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขายอมรับบรรดามิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่พระศาสนา อันที่จริงเสรีภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้ในดินแดนอื่นใดมากไปกว่านี้แน่ เราจะได้ยินเสียงระฆัง เราเห็นโบสถ์ทั้งหลายเปิดอยู่ เราร้องเพลงสวดอ้อนวอนพระเป็นเจ้า และเทศน์สั่งสอนได้อย่างเปิดเผย โดยไม่มีใครกล่าวแย้งใดๆ สิ่งนี้เองทำให้เราแน่ใจว่าเราสามารถปลุกแผ่นดินนี้ให้เป็นคริสต์ ได้โดยการส่งผู้ประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้าเข้ามา แต่จะต้องเป็นผู้ที่ทุกคนยอมรับ ในประเทศสยามนี้ให้การต้อนรับชาวต่างชาติดีมาก และการเดินทางไม่ว่าทางบกหรือทางเรือก็ไม่ยากลำบากนัก.