การออกเดินทางจากกรุงสยามและการลงเรือไปประเทศจีนของพระสังฆราชแห่งเบริธ

เขียนโดย   บาทหลวง ฌอง เดอ บูรซ์ (Jean de Bourges)

 

จากการที่ท่านสังฆราชแห่งเบริธตกลงใจไปประเทศจีนโดยเร็วที่สุด ดังนั้น หลังจากร่ำลาชาวโคจินจีน และจัดวางตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้แก่โบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่ในกรุงสยามแล้ว วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ท่านสังฆราชก็ลงเรือล่องแม่น้ำไป วันที่ ๑๗ ท่านก็ไปถึงเรือที่จอดสมออยู่ที่ปากน้ำห่างจากท่าเรือออกไปราว ๒ ลิเยอ วันที่ ๒๑ เราก็แล่นเรือออกทะเล กระแสลมเอื้ออำนวยให้เรือแล่นรุดหน้าไปได้ค่อนข้างดี จนถึงคืนวันที่ ๓๐ แต่เมือมาถึงระดับความสูงที่ ๑๐ อันเป็นจุดที่ทะเลจีนและทะเลกัมพูชามาบรรจบกัน เราก็ต้องเผชิญกับกระแสน้ำเชี่ยวที่รุนแรงและกระแสลมหวน เพียงชั่วเวลาไม่ถึง ๑๕ นาที เราก็รู้สึกสิ้นหวังที่จะรอดพ้นจากภยันตรายนี้ได้ เราลดใบเรือและโยนทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นทิ้งลงทะเลไป เพื่อช่วยให้เรือเบาและพ้นภัยไปได้ กระนั้นก็ดีแม้จะสามารถนำมาตรการบางประการมาปฏิบัติ เราก็วินิจฉัยได้ว่าไม่มีหนทางใดที่จะรอดพ้นจากอันตรายอันใหญ่หลวงนี้ได้ สิ่งที่ทำให้เราตระหนกตกใจเพิ่มขึ้นคือ ขณะที่เรือจอดชะลออยู่เพราะพ่ายแพ้ต่อกระแสลมเรือได้ถูกกระแสน้ำพัดพาเข้าไปใกล้ฝั่ง และในเขตที่เต็มไปด้วยหินโสโครกอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พิจารณาดูสิ่งที่จะสามารถทำได้ เราก็เชื่อว่าเมื่อไม่อาจจะทอดสมอได้เช่นนี้ ก็สมควรที่จะปล่อยให้กระแสลมพัดพาไปตามยถากรรมดีกว่า ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่ากระแสลมจะเปลี่ยนทิศทาง เมื่อตกลงใจเช่นนี้แล้ว เราก็เดินเรือมุ่งสู่ผืนแผ่นดินเป็นเวลา ๑ วัน กับ ๒ คืน ท่ามกลางท้องทะเลที่ระส่ำระสายต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เราคิดกันอยู่ทุกช่วงเวลาว่าเรือซึ่งมีน้ำไหลเข้ามาแล้วเช่นนี้คงจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในช่วงนั้นเองบรรดามิชชันนารีก็มีภาระปลอบใจและโปรดศีลแก้บาปให้แก่ชาวคริสต์ที่อยู่ในเรือ สำหรับพวกเขาเหล่านั้นโดยส่วนตัวแล้วก็พากันสวดภาวนา และพยายามถือโอกาสที่มิได้เกิดขึ้นทุกวันซึ่งเป็นโอกาสที่มองเห็นความตายปรากฏต่อสายตา และห่างไกลจากความหวังใดของมนุษย์นี้ให้เกิดประโยชน์ ช่วงเวลาที่ดีเลิศเช่นนี้เองที่บรรดามิชชันนารีได้ใช้พิสูจน์ตนเองในการต่อสู้ระหว่างจิตใจ ส่วนที่มีเหตุผลและจิตใจส่วนที่เป็นฝ่ายต่ำ ถ้าความระส่ำระสายภายนอกเพิ่มทวีขึ้นด้วยพายุที่รุนแรง ความระส่ำระสายภายในจิตใจก็มีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้วยความทุกข์ที่มนุษย์ผู้ยังมีกิเลสต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกกำลังเผชิญอยู่เมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ใกล้ความตายเพียงแค่คืบ และก็เช่นกันว่าในช่วงเวลาเช่นนี้เองที่มีผู้มีจิตใจยึดมั่นในศาสนา จะประพฤติตนให้เหมาะสมเช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าและแบบฉบับของพวกเขาผู้ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตใจอันดีงาม เพื่อความพอพระทัยขององค์พระเป็นเจ้าที่ทรงล้อเล่นกับชีวิตสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ดังเช่นคลื่นลมในมหาสมุทรที่กำลังปั่นป่วนอยู่นั้น

ลมยังคงพัดรุนแรงอยู่ต่อไป และพาเรือเข้าไปใกล้ฝั่งในไม่ช้า เราได้โยนสมอลงไป เมื่อถึงก้นทะเลเราก็หยุดนิ่ง แต่เนื่องจากทะเลยังปั่นป่วนอยู่มากในเขตนี้และกำลังของคลื่นก็รุนแรง เราจึงตกอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อไปว่าเรืออาจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ ในทันทีนั้นเราก็ส่งคนจำนวน ๑๒ คน ลงเรือกรรเชียงเดินทางไปยังผืนแผ่นดินเพื่อขอความช่วยเหลือจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อจะได้ขนถ่ายสินค้าที่มีอยู่ และช่วยชีวิตผู้คนบนเรือก่อนที่จะสละเรือทิ้งให้ล่องลอยไปกับอำนาจของคลื่นลม ความคาดหมายดังกล่าว ตามที่ปรากฏภายนอกก็ดูเป็นหลักการที่ควรจะทำได้แต่ก็กลับไร้ผล เพราะเมื่อเรือกรรเชียงไปถึงฝั่งได้ถูกคลื่นตีแตกทลายไป จนชายทั้ง ๑๒ คนนั้นเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถนำข่าวใดๆ หรือแม้แต่ความช่วยเหลือเช่นที่หวังกันไว้กลับไปยังเรือใหญ่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขาจึงพิจารณาที่จะนำความไปแจ้งยังกรุงสยาม  ๓ วันผ่านไปโดยไม่มีข่าวคราวใดๆ จากคนทั้ง ๑๒ เลย ผู้คนที่อยู่ในเรือใหญ่ต่างพากันเชื่อว่า ๑๒ คนนั้นคงจะทอดทิ้งพวกตนไปเสียแล้ว และปล่อยให้เรืออยู่ในสภาพที่กำลังเป็นอยู่ โดยคงถือว่าตนมีบุญที่อยู่นอกสภาพการณ์เช่นนั้นไปแล้ว ในสถานการณ์อันเหลือจะทนทานเช่นนี้ น้ำจืดก็เริ่มขาดแคลน เราก็หาทางทลายด้านข้างของเรือออกเพื่อทำเป็นเรือกรรเชียงเล็กๆ ลำที่ ๒ เมื่อเรือดังกล่าวเสร็จเป็นรูปร่างขึ้น กัปตันเรือพร้อมด้วยมิชชันนารีหนึ่งองค์ และคนอื่นๆ อีก ๕ คน ก็ลงเรือเล็กมุ่งหน้าไปยังผืนแผ่นดินเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ว่าจะโดยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม โชคดีที่พวกเขาได้พบชาวโคจินจีน ๔ หรือ ๕ คน ซึ่ง ๒ คนในจำนวนนี้เป็นชาวคริสต์ ทันทีที่เหลือบเห็นบาทหลวงซึ่งคนทั้งคู่เคยเห็นที่กรุงสยาม    ทั้ง ๒ ก็คุกเข่าลงแทบเท้าของท่าน และเมื่อได้ทราบเกี่ยวกับภยันตรายที่ท่านสังฆราชแห่งเบริธ   ซึ่งยังคงติดค้างอยู่บนเรือกำลังเผชิญอยู่ ชาวโคจินจีน ๓ ใน ๕ คนนี้ ก็รับเป็นธุระที่จะไปช่วยนำตัวท่านสังฆราชออกมา โดยนำเรือเล็กออกไป พวกเขาปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจนี้ด้วยความโอบอ้อมอารีเป็นลักษณะพิเศษของคนชาตินี้ เมื่อออกทะเลไปได้เป็นระยะทาง ๒ ลิเยอ และอยู่ห่างจากเรือใหญ่ราว ๑ ลิเยอ ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้น จนทำให้พวกเบาไม่เพียงแต่ต้องชะลอการเดินทางลง แต่เรือของพวกเขายังถูกทำลายแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ อีกด้วยในทันทีที่กลับเข้ามาถึงฝั่ง นี่แหละคือเหตุผลที่เราเริ่มหมดสิ้นความหวังทั้งปวง เมื่อมองไม่เห็นมีผู้ใดมายังเรือใหญ่เลยสักคน ส่วนพายุที่จะสงบลงกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก ลูกเรือทั้งหมดก็ละเหี่ยใจ เนื่องจากหวาดกลัวและกระหายหิว ซึ่งทรมานพวกเขาอย่างแสนสาหัส อย่างไรก็ตามพระเมตตาของพระเป็นเจ้าผู้ทรงไม่เคยละเลยต่อผู้ที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ด้วยความไว้วางใจในฐานะบุตร เมื่อเห็นเรือที่น่าสงสารต้องมาติดอยู่ เนื่องจากขาดน้ำจืด จึงได้ทรงประทานพายุฝนมาให้ ๒ ลูกใหญ่ ซึ่งนำน้ำมาให้อย่างเพียงพอ ไม่กี่วันหลังจากนั้นเรือเล็ก ๒ ลำ จากกรุงสยามก็มาช่วยเหลือตามคำบอกแจ้งของผู้คนที่ไปกับเรือกรรเชียงลำแรก ๒ วันก่อนหน้านี้ เมื่อกัปตันได้พบกับหัวหน้าของหมู่บ้านที่เอื้อเฟื้อกรุณาแล้ว ก็กลับมายังเรือใหญ่พร้อมกับบาทหลวงที่ได้เดินทางไปด้วย ดังนี้เอง ท่านสังฆราชแห่งเบริธจึงออกมาจากเรือเพื่อกลับไปยังกรุงสยาม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน

ทันทีที่ไปถึงกรุงสยาม ท่านก็ออกไปยังย่านที่อยู่ของพวกโคจินจีนและได้พบว่าคณะบาทหลวงที่ท่านได้ส่งไปเมืองตะนาวศรีกลับมาถึงพอดี ท่านสังฆราชแห่งเบริธได้ใช้เวลา ๖๕ วัน ในการแล่นเรือในทะเลจีนที่พายุจัดนั้น เนื่องจากได้รับแจ้งว่าท่านสังฆราชแห่งเฮลิโอโปลิส กำลังใกล้มาถึงเมืองตะนาวศรีแล้ว ท่านสังฆราชแห่งเบริธจึงได้ส่งคน ๒ คน นำหนังสือสำคัญไปให้กับท่านสังฆราชแห่งเฮลิโอโปลิส เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางทางบก ท่านตัดสินใจที่จะอยู่คอยพบท่านสังฆราชแห่งเฮลิโอโปลิสอีกด้วย เพื่อว่าเมื่อได้พบปะกันแล้ว ท่านทั้งสองจะสามารถเตรียมหามาตรการต่างๆ และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เพื่อการดำเนินงานของมิสซังได้ดีขึ้น อีกประการหนึ่งเวลาสำหรับการออกเดินทางในปีนี้ก็ได้ผ่านเลยไปเสียแล้ว ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องรอต่อไป นอกจากนี้ท่านสังฆราชแห่งเบริธก็มิได้มีผลประโยชน์อันใดแม้แต่น้อยจากการเดินทางออกทะเลไปพร้อมกับชาวโปรตุเกส ๔๐ คน ในครั้งที่แล้วมานั้น ท่านทราบว่าตามรูปการณ์นั้น มีคำสั่งบางอย่าง ถูกส่งมาจากโปรตุเกสและเป็นผลให้ชาวโปรตุเกสในกรุงสยามมองท่านด้วยสายตาที่ไม่สู้ดี ความไม่ไว้วางใจของพวกเขาทวีขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด จนถึงกับรวมกลุ่มขึ้นในหมู่พวกเขา เพื่อจะโค่นล้มท่านสังฆราช ท่านสังฆราชได้รับคำเตือนในเรื่องดังกล่าวนี้ และก็จำเป็นต้อง ละทิ้งถิ่นที่พวกนี้ครอบครองอยู่ และไปหาที่พักปลอดภัยกว่าในเขตที่ใกล้เคียงกับถิ่นของพวกฮอลันดา เพื่อเตรียมรับการมุ่งร้ายของพวกนั้น

ท่านสังฆราชแห่งเบริธ อาจหวาดกลัวที่ได้ลงเรือลำที่ท่านเห็นว่ามีศัตรูอยู่หลายคน อย่างไรก็ตามพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นหัวหน้าเรือ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมอบความไว้วางใจไว้ในองค์พระเป็นเจ้าและปฏิบัติราวกับท่านว่าท่านไม่รู้ไม่เห็นอะไรที่เกิดขึ้น และท่านก็ไม่ละเว้นที่จะพูดจาผูกสัมพันธไมตรีกับพวกเขา อีกทั้งในการบริการทุกอย่างที่ท่านสามารถจะทำได้ เพื่อให้พวกเขาได้รู้ถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ของบรรดาบาทหลวงชาวฝรั่งเศส และโดยปราศจากเหตุผล จากการที่อ้างถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผู้คนจึงมีความคิดในแง่ที่ไม่ดีต่อการดำเนินงานของคณะบาทหลวงฝรั่งเศส สิ่งที่ทำให้พวกเขาประทับใจก็คือ เมื่อเวลาที่อากาศปลอดโปร่งปราศจากพายุ เราจะสวดภาวนาต่อพระเป็นเจ้าทั้งเช้าและเย็นเป็นประจำ วันฉลองสมโภชเราก็จะทำพิธีมิสซาใหญ่ มีการสอนคำสอนและการเทศน์ในภาษาของพวกเขาถึงเรื่องการหลุดพ้นจากบาปชั่วนิรันดร์ พิธีเล็กๆ น้อย เหล่านี้ มีอิทธิพลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขา จากการเป็นศัตรูให้กลับกลายมาเป็นเพื่อน และพอจะพูดจากันได้ ทุกคนก็แก้บาป (สารภาพบาป) และรับศีลมหาสนิท มีหลายคนแก้บาปรับศีลมากกว่าหนึ่งครั้งเสียอีก และแล้วพวกเขาเหล่านี้ก็เปิดเผยถึงพฤติการณ์การประทุษร้าย ซึ่งพวกเขาได้วางแผนกระทำต่อท่านสังฆราชแห่งเบริธ โดยได้แสดงความขุ่นเคืองไม่พอใจออกมาให้เห็น คนพวกนี้ได้ให้สัญญาว่าหากเมื่อใดที่กลับไปยังกรุงสยาม พวกเขาจะไปเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในหมู่เพื่อนร่วมชาติของตนด้วย นี่เองคือสิ่งที่เราหวังจากการที่มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์และความยุติธรรมของพวกเขา ท่านสังฆราชแห่งเบริธเองก็ได้รับการปลอบใจเมื่อกลับไปถึงกรุงสยาม จากการที่ได้เห็นว่ากลุ่มผู้เลื่อมใสของท่านได้มีชาวโคจินจีนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน จากนั้น มาท่านก็ดำเนินการปลูกฝังพระศาสนจักรแห่งนี้ต่อไปท่ามกลางการอวยชัยให้พรอย่างดียิ่ง.

จากหนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปกรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓o