-
Category: องค์ที่ 181-266
-
Published on Monday, 02 November 2015 08:58
-
Written by หอจดหมายเหตุ
-
Hits: 2071
สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11
(Pope Pius XI ค.ศ. 1922-1939)
พระองค์มีพระนามเดิมว่า อัมโบร ซีโอ ดามีอันโน รัตติ เกิดที่เดซิโอ ใกล้เมืองมิลาน ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1857 บิดาเป็นผู้จัดการโรงเรียนทำผ้าไหม เข้าบ้านเณรเมื่ออายุได้ 10 ปี จากนั้นก็ย้ายไปศึกษาที่เมืองมิลานและโรม ได้รับศีลบวชที่วิหารลาเตรันในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1879 ในปี ค.ศ.1882 ท่านได้รับปริญญาเอกพร้อมกันสามใบ คือ ทางปรัชญา เทววิทยา และกฎหมายพระศาสนจักร เดินทางกลับมิลานและทำงานที่วัด เป็นคุณพ่อเจ้าอาวาสชั่วคราว จากนั้นก็ย้ายไปสอนที่บ้านเณรมิลานตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1883-88 ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าหน้าที่สมาชิกของสมาคมหนังสืออัมโบรซีโอ (ที่คัดเอาผู้ทรงความรู้เข้าเป็นสมาชิก) ท่านเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปว่าทรงความรู้แม้แต่กษัตริย์ของอิตาลีเอง ก็ได้มอบตำแหน่งอัศวินแห่งเซนต์เมาริสและลาซารัสแก่ท่านในฐานะผู้ทรงความรู้ทางวิชาการ ในปีค.ศ.1907ท่านก็ได้เป็นประธานของสมาคมอัมโบรซีโอ และรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสังฆราชแห่งมิลาน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 10 ได้แต่งตั้งท่านให้เป็นรองประธานและประธานของหอสมุดวาติกันในเวลาต่อมา ท่านเป็นผู้ศึกษาค้นคว้างานเขียน และเอกสารสมัยโบราณ ที่นี่ท่านได้ทำงานเรียบร้อยเป็นหมวดหมู่ พระสันตะปาปาเบเนดิก ที่ 15 ได้เลือกพระคาร์ดินัลรัตตีให้เป็นผู้แทนพระสันตะปาปาไปเยือนเมืองวอร์ซอร์ ในปี ค.ศ. 1918 ท่านทำงานได้อย่างประทับใจ ต่อมาจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสมณทูต และได้รับเหรียญตรากล้าหาญจากชาวโปแลนด์ เนื่องจากตอนที่กองทัพบอลเชวิก ของรัสเซียได้บุกกรุงวอร์ซอร์ในปี ค.ศ. 1920 นั้น ท่านเลือกที่จะไม่หนีไปไหน แต่อยู่กับชาวโปแลนด์ที่นั่นเอง อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ.1921 ท่านถูกเรียกตัวกลับโรมเพื่อรับตำแหน่งอัครสังฆราชแห่งมิลาน และได้รับตำแหน่งพระคาร์ดินัลในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.1921 โดยพระสันตะปาปาเบเนดิก ที่ 15 และน่าประทับใจมากยิ่งกว่าอีกคือ หลังจากนั้นเพียง 7 เดือน ต่อมาท่านก็ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่อจากพระสันตะปาปาเบเนดิก ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922 โดยใช้พระนามว่า พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11
พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 หนึ่งในบรรดาพระสันตะปาปาแห่งยุคปัจจุบันที่มีความสำคัญ ที่สุดองค์หนึ่ง พระองค์ทรงเลือกที่จะใช้คติพจน์ว่า “แสวงหาสันติของพระคริสต์ในอาณาจักรของพระคริสต์” นั่นก็แสดงให้เห็นถึงจุดยืนของพระองค์ในเวลานั้นว่าทรงปรารถนาอยากให้โลก มีสันติ และจะพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อนำสันติของพระคริสต์สู่ปวงชน ทรงลงพระนามสนธิ สัญญาระหว่างรัฐบาล และพระสันตะปาปาเพื่อกำหนดกิจการศาสนา ให้พิธีแต่งงานในโบสถ์เป็นการถูกต้องตามกฎหมาย จัดหลักสูตวิชาคำสอนสำหรับนักเรียนคาทอลิกในโรงเรียน และประกาศให้ศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศอิตาลีเพียงศาสนาเดียว
พระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 11 นอกจากจะเป็นผู้ปราดเปรื่องในหลายเรื่องแล้ว พระองค์ยังมีผู้ช่วยที่ปราดเปรื่องสองท่านคือ เลขาธิการวาติกัน พระคาร์ดินัลกัสปารี (ค.ศ. 1922-30) และพระคาร์ดินัลปาเชลลี (ซึ่งจะเป็นพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ในเวลาต่อมา) เป็นเลขาธิการรัฐวาติกัน (ค.ศ. 1930-39) ในปี ค.ศ.1929 พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ได้เจรจาทำสัญญาเดรันกับนายพล มุสโสลินี ผู้นำรัฐบาลอิตาลีในเวลานั้น ผลของสัญญา คือ ทำให้รัฐบาล อิตาลียอมรับในการเป็นรัฐของวาติกันและฝ่ายพระศาสนจักรเองก็สิ้นสุดการคัดค้านและยอมรับรัฐบาลอิตาลี (ข้อคัดค้าน ที่เรียกว่า Dissido) พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ทรงต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขัน ทรงประกาศแข็งกร้าวในสมณสาสน์ของพระองค์ที่ออก ในปี ค.ศ.1937 ที่ชื่อ Divini Redemptoris เป็นสมณสาสน์ต่อต้านการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่เริ่มต้นที่รัศเซียและเริ่มเผยแพร่ลัทธิดังกล่าวภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน ที่เป็นผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์รัสเซียในเวลานั้น พระองค์ได้พยายามปกป้องพระศาสนจักรในเยอรมัน โดยการทำสัญญากับรัฐบาลนาซี ในปี ค.ศ.1933 แต่ภายหลังข้อสัญญาที่ฝ่ายนาซีก็ละเมิดและยกเลิกสัญญา ในปี ค.ศ. 1937 พระสันตะ ปาปาปีโอ ที่ 11 จึงได้ออกสมณสาสน์ที่ชื่อว่า Mit Brennender Sorge ประณามรัฐบาลนาซีได้รับการลักลอบนำสมณสาสน์ฉบับนี้เอง ของพระสันตะปาปาเข้าไปในเยอรมัน และประกาศวัดต่างๆเพื่อแสดงถึงจุดยืนของพระศาสนจักร ความสัมพันธ์ของพระสันตะปาปาปีโอ กับรัฐบาลมุสโสลินีเองก็เสื่อมลง เมื่อรัฐบาลอิตาลีได้กลายเป็นรัฐบาลเผด็จการ ใช้นโยบายฟาสซิสต์
พระสมณสาสน์ที่สำคัญอีก 2 ฉบับของพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ได้แก่ Casti Connubii (ค.ศ.1930) และ Humanae Vitae (ค.ศ.1968) คัดค้านการคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ ที่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์คิดประดิษฐ์อุปกรณ์การคุมกำเนิด เพื่อตอบสนองทัศนคติต่อแนวความ คิดด้านเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แม้คริสต์ศาสนาบางนิกาย เช่น มอร์มอนส์ (Mormons) หรือโปรเตสแตนต์จะยอมรับการคุมกำเนิดเป็นรูปแบบของศีลธรรมทางสังคมก็ตาม
พระสันตะปาปาปีโอได้พยายามแก้ปัญญาข้อขัดแย้งที่เกิดกับรัฐบาลเม็กซิโกสำเร็จ ในปีค.ศ.1930 พระองค์ได้ออกเอกสารและสมณสาสน์ต่างๆ รวม 23 ฉบับ ในสมัยปกครองของพระองค์ ทรงเน้นเรื่องการแพร่ธรรมต่างแดน และสนับสนุนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของพระสันตะปาปา และพยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกันสงครามที่พระองค์เล็งเห็นว่าคงจะเกิดขึ้นในอนาคต
ในฐานะที่ทรงกอปรด้วยความรู้ด้านมนุษย์วิทยา เข้าใจลึกซึ้งในธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ ทรงก่อตั้งสถาบันวิจัยการศึกษาขั้นสูง ได้แก่สมณองค์กรเกี่ยวกับโบราณคดีทางคริสตศาสนา (ค.ศ.1925) และสำนักวิทยาการด้านวิทยาศาสตร์ ในองค์สมเด็จพระสันตะปาปา (ค.ศ.1936)ทรงพยายามสุดความสามารถจัดตั้งองค์กรฆราวาสแห่งแรกในประเทศอิตาลี และในชุมชน พระศาสนจักรทั่วโลกเรียกร้อง “การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา” และจัดตั้งองค์กรยุวคริสตชนแก่ชุมชนผู้ใช้แรงงาน” จนใน ค.ศ. 1922 จึงได้รวมองค์กรฆราวาสภายใต้การปกครองพระศาสนจักรอย่างเป็นทางการ
พระองค์ได้ปฏิสังขรณ์พระมหาวิหารนักบุญเปโตรใหม่ และปรับปรุงระบบบริหารวาติกันในฐานะรัฐให้เข้มแข็ง ภายในพระศาสนจักรเองพระองค์ไม่รีรอที่จะใช้อำนาจของพระสันตะปาปาปราบเหล่าพระคาร์ดินัลที่เป็นปัญหาต่อพระศาสนจักร เช่นพระองค์ได้ประกาศถอนตำแหน่งพระคาร์ดินัลชาวฝรั่งเศสที่สนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงในฝรั่งเศส ต่อด้านพระศาสนจักรที่ชื่อว่า French Action พระองค์ระวังข้อครหาเรื่องญาติพี่น้อง ถึงขนาดคนในครอบครัวของพระองค์เองต้องไปขอร้องให้ผู้จัดการเรื่องการเฝ้าพระสันตะปาปา ช่วยขอร้องให้พระสันตะปาปาอนุญาตให้พวกเขาเข้าเฝ้า
งานด้านการเผยแผ่พระวรสารในต่างประเทศ พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ทรงขอความร่วมมือจากคณะนักบวชทุกคณะ เป็นผลให้มีผู้เปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนาจำนวนมาก เหตุการณ์สำคัญอีกประการ ได้แก่ พิธีสถาปนาพระสังฆราชชาวจีนองค์แรกใน ปี ค.ศ.1926 ทรงส่งเสริมนักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านจารีตพิธีให้ร่วมกันค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับคริสต ศาสนาในประเทศแถบตะวันออก
แม้ว่าโดยทั่วไปพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 จะไม่ค่อยได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไร แต่ที่สุดในต้นปี ค.ศ. 1939 พระองค์ทรงประชวรและอาการก็ค่อยๆ ทรุดลงเรื่อยจนสิ้นพระชนม์ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1939 นั่นเอง ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่เทศน์ออกอากาศผ่านทางวิทยุกระจายเสียงวาติกัน.
ยุวคริสตชนผู้ใช้แรงงาน (Young Christian Workers)
กลุ่มเคลื่อนไหวคริสตชนผู้ช้แรงงานในประเทศเบลเยี่ยม นำคุณพ่อโยเซฟคาร์ดิจิน (ภายหลังเป็นพระคาร์ดินัล) ก่อตั้งในปี ค.ศ.1912 เพื่ออบรมผู้ใช้แรงงานถึงความรู้ด้านการเผยแผ่พระวรสาร เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเข้ากับบรรยากาศในสำนักงานและในโรงงาน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 11 ทรงสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรยุวคริสตชนผู้ใช้แรงงานในระดับ ประเทศ ใน ปี ค.ศ.1925 มีวัตถุประสงค์เพื่อนำหลักคำสอนของคริสตศาสนาปรับเข้ากันสภาวะการทำงานโดยใช้สูตร “ดู-ไต่ตรอง-กระทำ” (See-Judge-Act) (ดูให้เข้าใจ...ไตร่ตรองเพื่อตัดสินใจ...และลงมือกระทำปลายศตวรรษที่ 20 องค์กรนี้เป็นที่รู้จักในชื่อของ “กลุ่มยุวคริสตชน” (Young Christian Movement)