-
Category: ประวัติพระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (มรณะ)
-
Published on Thursday, 07 April 2016 08:58
-
Written by หอจดหมายเหตุ
-
Hits: 1578
คุณพ่อ โคล้ด ชังเดอบัว
Claude CHANDEBOIS de FALANDIN
ถ้าการทนทุกข์ทรมาน และอัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อยืนยันชีวิตบริสุทธิ์ยอดเยี่ยมของผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเป็นนิมิตหมายชี้บอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของผู้นั้น ในกรณีของคุณพ่อชังเดอบัว ก็ต้องยอมรับว่า ท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดานักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการยากที่จะแสวงหาใครทนทุกข์ทรมานมากมายเหลือเกินเท่าท่าน และที่ได้ทำสิ่งมหัศจรรย์มากอย่างท่าน
ไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็ก เพราะท่านไม่เคยพูดถึงตนเอง ท่านเกลียดคำยกยอปอปั้นอย่างที่สุด ถ้ามีใครพูดในทางสรรเสริญแล้ว ท่านรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรง
กระแสเรียก คุณพ่อตัดสินใจทิ้งธุรกิจทางโลก ท่านอยากเจริญชีวิตอยู่เพื่อพระเป็นเจ้าเท่านั้น ความรักที่ท่านมีต่อเพื่อนบ้าน ผลักดันมิให้ท่านเข้าไปเป็นฤาษีในอาราม ท่านได้ทราบว่าพระสังฆราชปัลลือเพิ่งเดินทางกลับกรุงโรมครั้งที่สอง และพระสังฆราชกำลังจะเดินทางผ่านประเทศอินเดีย คุณพ่อรู้สึกมีแรงบันดาลใจรุนแรงอยากติดตามพระสังฆราชไปด้วย ประมุขผู้ยิ่งใหญ่มีความชำนาญในทดสอบกระแสเรียกของบุคคลที่ขอคำแนะนำเรื่องนี้ ท่านจึงชี้แจงระเบียบการต่างๆ อย่างละเอียดให้คุณพ่อทราบ แล้วแนะให้คุณพ่อถอดเครื่องแต่งกายของฆราวาสออก แล้วสวมเครื่องแบบนักบวชแทน สองวันต่อมา พระสังฆราช จัดให้ท่านเข้าเงียบ ระหว่างเข้าเงียบนี้เอง พระสังฆราชสังเกตว่า ลูกศิษย์ใหม่คนนี้มีความพร้อมอย่างน่ามหัศจรรย์ ท่านคิดว่า สักวันหนึ่งในอนาคต ศิษย์ผู้นี้จะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในคณะธรรมฑูต
ใจร้อนรน คุณพ่อชังเดอบัวเป็นคนแข็งแรง ท่านทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เวลากลางวันและกลางคืนดูเหมือนสั้นเกินไปสำหรับท่านในการศึกษา ท่านทำการทรมานอย่างลับๆ ทำอย่างรุนแรงเสียด้วย แม้กระนั้นก็ยังไม่จุใจ ท่านรับประทานอาหารนิดหน่อย ไม่ดื่มเหล้า และนอนบนพื้นโดยไม่ถอดเครื่องแบบออก เพื่อนธรรมฑูตบางคนไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณพ่อ และพวกเขาไม่ทราบอะไรมากนักในเรื่องที่คุณพ่อปฏิบัติภายใต้การดูแลของพระสังฆราชปัลลือ บางคนชมเชยความร้อนรนที่เพิ่งเริ่มขึ้นในตัวคุณพ่อ แต่บางคนตำหนิเป็นการใหญ่ พูดทำนองว่า ไม่นานหรอก ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อคุณพ่อได้บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว ก็ทำการทรมานกายหนักขึ้นเป็นสองเท่า ท่านอยากทำมากกว่านี้อีก แต่เพื่อนยับยั้งไว้ เพราะเกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหว ทุกคนแปลกใจ ชมและรักคุณพ่อ ท่านวางตัวเหมาะกับบุคคลต่างๆ ที่นี่มีโอกาสสนทนากับท่านหรือติดต่อเป็นการส่วนตัว
พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสตเจ้าติดอยู่ที่ริมฝีปากของท่านตลอดไป : พระชนมชีพ พระมหาทรมาน และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นหัวข้อรำพึงของท่าน คุณพ่อรำพึงพิจารณาพระฉบับแบบยิ่งใหญ่และประเสริฐล้ำเลิศนี้ ทำให้ท่านรู้สึกว่าความทุกข์ทรมานที่ได้รับนั้นเบาลงเป็นอันมาก ในการเดินทางทางบกและทางทะเลนั้น คุณพ่อต้องพบอุปสรรคนานับประการ โรคภัยไข้เจ็บเริ่มเล่นงานคุณพ่อที่เมืองสุรัต ท่านไม่เคย ปริปากบ่นสักคำเดียว ยิ่งกว่านั้น คุณพ่อทำงานเป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเดินทางต่อไปถึงเมืองราชปุระ พร้อมเพื่อนร่วมทาง เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งมาลาบาร์ ที่นี่พวกฝรั่งเศสมีศูนย์การค้าอยู่ ไข้ป่าเล่นงานคุณพ่ออย่างรุนแรง ท่านมีไข้สูง ปวดศีรษะเสมอ ท่านหกล้ม เป็นอัมพาตทางด้านขวา แล้วเป็นทางด้านซ้าย เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย ที่สุด คุณพ่อเป็นโรคท้องมาน, ที่ท้อง แขน หน้าเเข้ง และที่ใบหน้ามีแผลพุพอง เกิดโรคบิดแทรกซ้อน ปวดท้องอย่างแรง ทำให้นอนไม่หลับเลย โรคนิ่วทำให้ไตของท่านเจ็บปวดสาหัส ตาก็มัวลง ลิ้นบวม หูสองข้างมีแผล ทำให้เกือบไม่ได้ยินอะไรเลย
พระสังฆราชปัลลือเห็นสภาพน่าวิตกอย่างยิ่งของคุณพ่อ จึงโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ ที่จำเป็นให้ทุกอย่าง พระสังฆราชปัลลือต้องตัดใจปล่อยคุณพ่อไว้ แล้วออกเดินทางต่อไป คุณพ่ออยู่ในสภาพเหมือนบุตรของพระเจ้าถูกตรึง ณ กางเขน ท่านไม่บ่นสักคำเดียว ไม่โอดครวญเรื่องความเจ็บปวด ท่านปลงตกได้อย่างดีน่าสรรเสริญ แม้รู้สึกว่า บิดา ญาติพี่น้อง บรรดามิตรสหาย ทอดทิ้งท่านก็ตาม พระเป็นเจ้าองค์เดียวพอแล้วสำหรับคุณพ่อ จิตใจสูงส่งของท่าน ซึ่งมีความสนิทสัมพันธ์กับพระอาจารย์เจ้าอย่างล้ำลึก พึงพอใจในสภาพที่ท่านเป็นอยู่ ทั้งๆ ที่คนใกล้ชิดร่ำไห้เพราะสงสารท่านอย่างที่สุด สิ่งที่ทรมานใจพวกเขา กลับเป็นความบรรเทาสำหรับคุณพ่อ ท่านมอบใจถวายตนเองในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังเครื่องบูชาที่หอมฟุ้งจรุงกลิ่นเป็นบรรณาการเเด่พระองค์
ยังไม่ถึงเวลาที่พระจะประทานมงกุฎแก่คุณพ่อ : ความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย คราวนี้เป็นการเตรียมให้ท่านเผชิญศึกหนักยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ผู้ทรงทำให้คนบาดเจ็บและจะทรงรักษาให้หายได้เมื่อทรงพอพระทัย ทรงนำมนุษย์ไปถึงประตูความตายและทรงห้ามเขาเข้าไป พระองค์ทรงโปรดให้คุณพ่อค่อยๆหายป่วยทีละน้อย การณ์เป็นเช่นนี้ก็อาศัย ม. เดอ ฟลาวากูร์ หัวหน้าโรงงานฝรั่งเศส ซึ่งได้ทุ่มเทดูแลรักษาคุณพ่ออย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เมื่อมีอาการดีขึ้นพอสมควร ท่านก็ประสบโอกาสได้เดินทางมาเมืองสยาม ไม่มีอะไรมาขัดขวางการตัดสินใจของท่านได้อีกแล้ว มีหลายคนทัดทาน ทั้งขอร้องให้ระงับการเดินทางเอาไว้ก่อน เพราะสุขภาพยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็ไร้ประโยชน์ คุณพ่อมาพบอากาศที่เอื้ออำนวย จึงกลับฟื้นมีกำลังใหม่ เพื่อนสงฆ์ในเมืองไทย ตกใจเมื่อคุณพ่อมาถึง ในสภาพพร้อมทำงานเหมือนคนสบายดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทุกคนเชื่อว่า ท่านไม่มีชีวิตในโลกนี้อีกแล้ว!
ขณะที่คุณพ่อเดินทางมาถึงเมืองไทยนั้น สังฆมณฑล 2 แห่งของประเทศญวณ คือ ตังเกี๋ย และโคชินไชน่า กำลังเจริญ แม้มีการเบียดเบียนรุนแรงมากก็ตาม คณะมิชชันนารีกระหายอยากไปแพร่ธรรมด้วยจิตใจเร่าร้อน พร้อมกับหวังว่า อาจจะมีโอกาสเป็นมารตีร์ด้วย ส่วนในสยามนั้น การกลับใจมีน้อยและมีความลำบากในเรื่องนี้ ในโอกาสเข้าเงียบของคุณพ่อชังเดอบัว ภายใต้การดูแลของพระสังฆราชลาโน ประมุขของสังฆมณฑลในขณะนั้น คุณพ่อสวดขอพระเป็นเจ้าโปรดให้ท่านทราบน้ำพระทัยว่า ทรงต้องการให้ท่านรับใช้ที่ไหน แต่ใจของท่านนั้นจดจ่ออยู่กับเมืองไทย ประมุขของมิสซัง ผู้แนะนำวิญญาณได้รับรายงานเรื่องความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของคุณพ่อจึงตกลงใจขอให้ท่านอยู่ทำงานกับพระสังฆราชแทนการไปแพร่ธรรมในประเทศญวน คุณพ่อก็ตกลงอยู่ช่วยพี่น้องชาวไทยให้กลับใจ ปีค.ศ. 1674 ผู้ใหญ่ก็ส่งท่านไปทำงานอภิบาลในเมืองบางกอก และแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอิมมาคูเลตคอนเซ็ปชัญ และเป็นรองประมุขของมิสซังสยาม ให้แพร่ธรรมในหมู่ชาวไทย
ความจริง คุณพ่อมีหน้าที่ประกาศข่าวดีแก่คนมั่งมี, คนยากจน, พวกปัญญาชน, คนธรรมดาทั่วไป, คนมีความรู้, คนซื่อๆ แต่ท่านก็ให้ความสนใจคนยากจนเป็นพิเศษ เพราะเห็นว่า บุคคลเหล่านี้มีความพร้อมยอมรับคำสั่งสอนมากกว่าพวกแรก ซึ่งมักปฏิเสธอย่างหยิ่งยะโสและเหยียดหยามด้วย นี่แหละ ชีวิตของมิชชันนารี ซึ่งไม่เพียงแต่มั่นใจในการชักจูงคนให้กลับใจ ต้องมีสาเหตุอื่นช่วยโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังด้วย
คุณพ่อได้ความคิดว่า น่าลองเอาอย่างพระสังฆราชลาโน เพราะพระสังฆราชลาโนเพิ่งเปิดโรงพยาบาลขึ้นเพื่อบำบัดรักษาคนได้รับบาดแผลที่ยากจน และคนป่วยทุพพลภาพ นอกนั้น ยังแจกจ่ายอาหารให้ฟรีอีกด้วย แต่เพื่อการนี้ จำเป็นต้องมีความรู้ทางยาและการผ่าตัดพอสมควร พระสังฆราชเองรอบรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่นั่นแหละ พระเป็นเจ้าไม่ทรงเห็นชอบให้คุณพ่อรับใช้พระองค์ในเรื่องการเยียวยารักษามนุษย์ ทรงมีพระประสงค์เป็นอย่างอื่น ทรงดลใจคุณพ่อให้เจริญชีวิตแบบใหม่ เคร่งครัดยิ่งที่ได้ปฏิบัติมาจนถึงขณะนั้น ท่านลังเลใจ เกรงว่าการดลใจนี้เป็นกลลวงของปีศาจ จึงปรึกษาพระสังฆราชผู้แนะนำวิญญาณให้ตัดสินปัญหาดังกล่าว คุณพ่อเรียนชี้แจงแผนชีวิตที่กราบทูลพระไว้, วิธีรักษาคนป่วย ที่ได้รับการดลใจ, ระบบในการปฏิบัติต่อบรรดาคนเจ็บป่วยที่มาขอการรักษา พระสังฆราชรู้จักพรสวรรค์ของคุณพ่อดี จึงสนับสนุนให้ท่านดำเนินตามโครงการ ยิ่งกว่านั้น พระสังฆราชให้ความมั่นใจแก่ท่านว่า จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เชิญติดตามเรื่องราวที่คุณพ่อทำเพื่อพระและสิ่งที่พระทรงปฏิบัติต่อท่านต่อไป
คุณพ่อออกจากการเข้าเงียบแล้ว ก็เริ่มอดอาหารเรื่อยไปจนถึงวาระสุดท้าย ท่านอดอาหารแบบไหนหรือ? ใครเล่าเข้าใจคุณพ่อในเรื่องนี้? ข้าวเย็นชืดนิดหน่อย, ไข่ต้มไว้ตั้งแต่เมื่อวานกับลูกมะเดื่อสองผล นี่แหละ อาหารทั้งหมดที่ท่านรับประทานวันละมื้อเท่านั้น นอกนั้น ท่านไม่แตะต้องน้ำชา, เครื่องดื่ม, ผลไม้ทุกชนิด รับประทานก็แต่ผักขมแทนไข่ไก่! ในเทศกาลมหาพรต คุณพ่อไม่สวมหมวกหรือใส่รองเท้าเวลาออกนอกบ้าน เสื้อหล่อของท่านเป็นผ้าหยาบๆ ในเสื้อหล่อนี่แหละ คุณพ่อซ่อนเครื่องทรมานกายไว้ ซึ่งปกปิดร่างกาย แล้วมีโซ่เหล็กมีปุ่มแหลมคาดอยู่รอบบั้นเอว ท่านนอนบนพื้นดิน ใช้บันไดพระแท่นต่างหมอน มีเสื่อกระจุดปูแทนฟูก สิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นตกใจอย่างยิ่งคือ ท่านไม่กางมุ้งเวลานอน ใครๆ ก็รู้ว่าในประเทศร้อน ยุงชุกชุมที่สุด ใครนอนไม่มีมุ้ง ยุงเล่นงานหาความสุขไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม คุณพ่อเอาใจใส่ดูแลคนรับใช้เป็นอย่างดี ท่านเรียกพวกเขาว่าลูก ท่านจัดอาหารให้เขาดีมาก เวลานอนก็มีเครื่องป้องกันยุง เมื่อคนงานหลับแล้ว คุณพ่อก็คุกเข่าแทบพระแท่น สวดภาวนาเป็นเวลานาน จนง่วงหลับตรงนั้นเอง ตื่นขึ้นท่านก็คุกเข่าสวดใหม่ ท่านทำเช่นนี้จนถึงตีสี่ แล้วปลุกคนงานเรียกให้มาสวดตอนเช้าพร้อมกัน คุณพ่อถวายมิสซาเวลาตีห้าครึ่ง ส่วนคนงานรับประทานอาหารเช้าและจัดจานชามใส่อาหารสำหรับท่าน ซึ่งมีปลาและอาหารพื้นๆ ที่ชาวบ้านนิยมรับประทาน เวลาเจ็ดโมงเช้า คุณพ่อออกเยี่ยมเยียนชาวบ้านในรัศมี 3 หลัก ท่านเยี่ยมทุกครอบครัวที่มีคนสมัครเรียนคำสอนหรือคนป่วย เวลาสิบโมง ท่านรับอาหารเที่ยง และจัดให้คนงานรับพร้อมกันต่อหน้าท่าน หลังทำวัตรประจำวันตามเวลาแล้ว คุณพ่อก็ทำสวนครัว
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน มีคนตีเกราะเรียกสมาชิกในบ้านเเละคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ให้มาประชุมในวัดเพื่อสวดสายประคำ และฟังการอธิบายคำสอน ซึ่งคุณพ่อกระทำเป็นกิจวัตร คนยากจนจากที่อื่นพอใจในสิ่งของที่ท่านแจกให้ เวลา 1 ทุ่มครึ่ง ทุกคนรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยและพักผ่อนเล็กน้อย คุณพ่อก็ให้เขาสวดค่ำ ท่านจะแสดงความไม่พอใจ ถ้าหากเห็นพวกเขาอยู่ในสภาพไม่พร้อม ที่จะพักผ่อนอย่างดีตลอดคืน คุณพ่อจัดการกางมุ้งป้องกันยุงมิให้รบกวนพวกเขา ท่านทุ่มเทความรักอย่างไม่กลัวเหนื่อย เพื่อความสุขของคนอื่นอย่างนี้ทุกวัน ท่านทำถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่จุใจ ต้องไประบายทุกสิ่งแก่พระอาจารย์ในตู้ศีล ท่านจึงพอใจ คุณพ่อให้วันแต่ละวันแบบนี้ ตลอดเวลา 17 ปี!
คุณธรรมของคุณพ่อ ผู้เขียนไม่ต้องการพูดเรื่องที่ท่านทำงานอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย ท่านต้องเผชิญปัญหาทางจิตใจ, ต้องพบกับปัญหาสองแง่สองมุม, ท่านถูกสบประมาท, ใส่ร้ายป้ายสีในรูปแบบต่างๆ แต่ท่านก็ “หวานอมขมกลืน” เพราะถือว่าเป็นธรรมดาในงานอภิบาลคริสตชน ปีศาจศัตรูตัวร้ายมันเป็นเหมือนขมิ้นกับปูนสำหรับมนุษย์ มันคอยทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์, ปีศาจโจมตีท่านนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็พ่ายแพ้ไปทุกที มันเล่นงานคุณพ่อในเรื่องความบริสุทธิ์ โดยวิธีแยบยล แต่กลเม็ดที่มันใช้กลับทำให้ท่านบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น มันพยายามยุแหย่ให้เกิดความรู้สึกจองหอง และมีความมั่นใจตนเองเกินขนาด ท่านต้องสู้มัน อาศัยความสุภาพถ่อมตน ทำให้มันหนีไปตามระเบียบ มันใช้อำนาจแฝงโจมตี แต่ทุกคนก็พิศวง ที่ท่านเป็นคนเสียสละอย่างยิ่ง ทั้งชีวิตของท่านก็บริสุทธิ์อย่างไม่มีที่น่า ติเตียน คนรับใช้คนหนึ่ง ถูกจิตชั่วสิง พยายามวางยาพิษฆ่าคุณพ่อ แต่แล้วก็มากราบแทบเท้าสารภาพผิด หญิงชั่วคนหนึ่งเสแสร้งทำเป็นเจ็บไข้ไม่สบาย เพื่อโอ้โลมให้คุณพ่อทำผิดกับเขา ท่านตะเพิดไปอย่างไม่ไว้หน้า คุณพ่อเป็นคนสงบใจเย็นที่สุด, อดทน อดกลั้นเป็นเลิศ, ยึดถือการปฏิบัติสายกลาง เป็นคนสุภาพราบเรียบ ท่านมุมานะในการทำงานที่ส่งเสริมเกียรติมงคลของพระเป็นเจ้า และช่วยให้คนบาปกลับใจ ถ้าหากใครอยากทราบข้อเท็จจริงในกิจกรรมที่คุณพ่อได้ทำเพื่อพระ ซึ่งทรงเรียกท่านให้ดำเนินชีวิตโด่งดังจนเป็นที่พอพระทัยพระองค์ ก็ต้องจาระไนชีวิตของท่านอย่างละเอียดละออ วิธีนี้เท่านั้นเป็นข้อพิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ที่เล่ามาพอเป็นสังเขปได้เป็นอย่างดี
การรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวางอย่างยิ่งต่อผู้รับใช้ที่ทรงโปรดปราน ในการเข้าเงียบที่ผู้เขียนได้พูดถึงมาแล้วนั้น ดูเมือนว่าพระทรงตรัสกับ คุณพ่อโดยตรง ทรงมอบอำนาจทุกอย่างให้ท่านมีต่อปีศาจและความเจ็บไข้ได้ป่วย และเพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าท่านเป็นคนสุภาพเจียมตน ท่านต้องใช้น้ำเสกและน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่พระสังฆราชลาโนเสกให้ หรือคุณพ่อเสกเอง วิธีนี้จะช่วยให้ทุกคนรับรู้การรักษาโรคที่ท่านทำนั้น เพราะอาศัยฤทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง คุณพ่อพยายามทุกวิถีทางปกปิดมิให้บุคคลภายนอกเห็นอัศจรรย์ที่ท่านทำทุกวัน แต่ไม่สำเร็จ คนเจ็บป่วยที่คุณพ่อรักษาให้หายโรคต่างโฆษณาเกียรติคุณของท่านไปทั่ว มีคนเดินทางจากที่ต่างๆ ทั่วประเทศมาขอให้ท่านรักษาราวกับว่าท่านเป็นหมอไสยศาสตร์ คุณพ่อเองไม่อาจปรากฏตนในที่ทั่วไปได้ เพื่อนมิชชันนารีของท่านจึงพยายามชี้แจงแก่ผู้มาขอพบว่า คุณพ่อต้องการเก็บตัวอยู่ในบรรยากาศสงบเงียบ
พระสังฆราชปัลลือเดินทางมาเมืองไทยครั้งที่สาม ได้รับทราบเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยตลอด พระสังฆราชปัลลือเรียกคุณพ่อชังเดอบัวมาพบและขอร้องให้เล่าเรื่องทุกอย่างโดยไม่ปิดบังเลย คุณพ่อพยายามป้องกันตนเองโดยชี้แจงว่า คนภายนอกพูดผิดไปว่าคุณพ่อทำสิ่งมหัศจรรย์ ซึ่งความจริง คนที่หายโรคนั้น หายเพราะพระทัยดีของพระเจ้า การหายจากโรคนั้น เป็นผลที่เกิดขึ้นจากน้ำเสกและน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น พระสังฆราชปัลลือต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของผลน่ามหัศจรรย์ จึงสั่งให้คุณพ่อบันทึกเรื่องราวที่ท่านเห็นว่า น่าอัศจรรย์ใจที่สุด คุณพ่อก็นบนอบและบันทึกรายการต่างๆ ซึ่งพระสังฆราชได้ลงชื่อรับรองในท้ายบันทึกฉบับนั้น รายงานของคุณพ่อเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดของคณะมิสซังต่างประเทศ จากบันทึกดังกล่าว เราจึงทราบว่า คุณพ่อขับไล่ผีออกจากคนที่ถูกสิง ทำให้คนหูหนวกได้ยิน คนตาบอดมองเห็นได้ คนเป็นอัมพาตเดินได้ คนโรคเรื้อนหายโรค ท่านรักษาโรคพิษสุนัขบ้าหายเป็นปกติ ตลอดจนรักษาโรคอื่นๆอีกมากมายให้หายในพริบตาเดียว
ผู้เขียนประวัติของคุณพ่อกล้ายืนยันอย่างห้าวหาญว่า ตลอดเวลา 11 เดือน ที่โชคดีได้อยู่ใกล้ชิดท่านในบางกอกนั้น แม้คุณพ่อพยายามมิให้ใครล่วงรู้เลย ผู้เขียนก็ยังได้ยินคนพูดเรื่องอัศจรรย์ต่างๆ ที่ได้เล่ามาทั้งหมด ขอนำมาเล่าสักเรื่องหนึ่งจากหลายๆ เรื่อง
เล่าปรากฏการณ์พิเศษ พระสังฆราชลาโน, คุณพ่อชังเดอบัวและผู้เขียนได้รับเชิญจากเจ้าเมืองนครบางกอก ให้ไปพบ เพื่อจะได้ปรึกษาเรื่องที่เขารู้สึกปวดทั้งตัวในระหว่างทาง เราหยุดอยู่ที่หน้าบ้านคริสตังคนหนึ่ง ซึ่งจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคสำหรับโรงเรียนของเรา คุณพ่อบอกให้เราหยุดแล้วเข้าไปในบ้าน ก็พบกับเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเสื่อ หน้าตาไม่เป็นมนุษย์เอาเสียเลย เพราะมีแผลเน่าเฟะตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า,พระสังฆราชปัลลือหันมาถามคุณพ่อว่าได้โปรดศีลเจิมให้คนป่วยแล้วหรือยัง คุณพ่อยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า หนูคนนี้จะไม่ตาย แล้วคุณพ่อควักเอาขวดบรรจุน้ำเสกออกมา บอกให้เด็กสวดบท “ข้าพเจ้าเชื่อถึง” ตาม คุณพ่อสวดเสียงดังเป็นภาษาไทย แล้วจึงทำเครื่องหมายกางเขนบนหน้าผากพร้อมกับเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ แล้วคุณพ่อเร่งให้พวกเราออกจากบ้านไป เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนผ่านไปทางนั้นอีก ก็พบว่าเด็กหญิงคนนี้กำลังแจวเรือหน้าตาเฉย ผู้เขียนเรียกเด็กมาพบให้เล่าเรื่องให้ฟัง เด็กเล่าว่า เมื่อเราออกจากบ้านไปแล้ว เขาก็นอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาก็พบสะเก็ดที่สีข้างทั้งสอง เขาหายดีเป็นปรกติ
การป่วยครั้งสุดท้าย ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเล่ารายละเอียดมากกว่านี้ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน การทำงานแพร่ธรรมอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย, การทรมานกายอย่างน่ากลัวทำให้คุณพ่ออ่อนเแอมากจนถึงกับมีอาการสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ต้องเชิญท่านให้มาที่บ้านเณร (ที่อยุธยา) ทางบ้านเณรจัดอาหารที่ท่านเคยรับประทานเมื่อก่อนมาให้คุณพ่อนบนอบทุกอย่าง แต่กระเพาะอาหารของท่านปฏิเสธไม่ยอมรับอะไรเลย ทุกคนเห็นชัดเจนว่า ท่านเหนื่อยอ่อนลงไปมาก คุณพ่อรับศีลเจิมคนไข้ด้วยใจร้อนรนและน้อมถวายทุกอย่างแด่พระ ทุกคนเห็นเค้าของการเป็นผู้รับเลือกสรรบนใบหน้าของท่าน
วิญญาณบริสุทธิ์งดงามของคุณพ่อแยกร่างกายกลับไปหาพระ ณ บ้านเณรนักบุญยอแซฟ ทุกคนร่ำไห้และอาลัยท่านอย่างสุดซึ้ง
คุณพ่อเกิดที่เมืองแปร์ช เมื่อท่านอายุ 30 ปี เดินทางจากฝรั่งเศส ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1670 คุณพ่อมรณภาพในปี ค.ศ. 1687