คุณพ่อ ปิแอร์ กรางด์

 

คุณพ่อ ปิแอร์ กรางด์

Pierre GRAND

 

คุณพ่อ ปิแอร์ กรางด์ เกิดวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1852 ที่เมืองแซงต์ ยือเลียง ชัปเตย แขวงโฮ๊ตลัวร์ คุณพ่อเข้าเรียนในบ้านเณรเล็กที่ซาร์เตรอส์ เข้าบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศ วันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1872 รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1875 ได้รับมอบหมายให้มามิสซังสยาม  คุณพ่อออกเดินทางจากกรุงปารีส วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1875

คุณพ่อเริ่มเรียนภาษาไทยได้อย่างง่ายดาย แม้การออกเสียงสำนวนภาษาทางภาคตะวันออกไกลจะยากมากก็ตาม เมื่อคุณพ่อสามารถพูดจนเป็นที่เข้าใจได้แล้ว ประมุขมิสซังก็ส่งคุณพ่อไปอยู่ที่วัดแม่พระลูกประคำที่กรุงเทพฯ โดยให้อยู่ในความดูแลของคุณพ่อซาลาแด็ง

คุณพ่อกรางด์ยังเรียนภาษาจีน 2 ภาษา ซึ่งจำเป็นต้องรู้เพื่อทำงานแพร่ธรรม คุณพ่อก้าวหน้าเรียนภาษาจีนแต้จิ๋ว และภาษาจีน อักกา ได้อย่างรวดเร็ว

ค.ศ. 1877 คุณพ่อปกครองดูแลกลุ่มคริสตังที่บางปลาสร้อย

ค.ศ. 1879 ได้รับมอบหมายให้ปกครองดูแลกลุ่มคริสตังใหญ่ที่บางช้าง คุณพ่อทำงานได้ผลดีอยู่เป็นเวลาสองปี ค.ศ. 1882 คุณพ่อซาลมอน มารับหน้าที่แทนคุณพ่อ ส่วนคุณพ่อกรางด์ได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่วัดห่างไกล และยุ่งยากลำบากมากกว่าแห่งหนึ่ง เป็นเหมือนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น ตามภาษามิสซัง

ที่หวายเหนี่ยว ริมแม่น้ำแม่กลอง อยู่ห่างจากบางช้างไปทางเหนือเป็นระยะเดินเรือสองวัน มีกลุ่มคริสตังใหม่กลุ่มหนึ่งมีคริสตังจำนวน 120 คน ที่นั่น ต้องการได้คนที่หนักแน่นและผ่านประสบการณ์มาแล้ว คุณพ่อกรางด์เป็นคนที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ อาคารไม้ไผ่หลังหนึ่ง ยาว 18 เมตร กว้าง 7 เมตร ใช้เป็นที่สอนคำสอนและใช้เป็นวัดด้วย ครูคำสอนพักอยู่ที่อาคารนี้ และมิชชันนารีก็ต้องพักอยู่ที่นั่นด้วย คุณพ่อกรางด์จึงไม่มีอะไรเลยในวัดใหม่ของคุณพ่อ ต้องเริ่มสร้างใหม่หมดทุกอย่าง มิชชันนารีของเราลงมือทำงานอย่างกล้าหาญ การตั้งความหวังว่าจะต้องทำให้คนกลับใจเป็นจำนวนมากที่หวายเหนียวและเขตใกล้เคียง ทำให้ความกระตือรือร้นของคุณพ่อเพิ่มทวีขึ้น แล้วก็เป็นจริง คุณพ่อมีผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปเป็นจำนวนมาก มิใช่เพียงแต่ที่หวายเหนียวเท่านั้น แต่ยังที่สำโรง ใกล้กับป่า ซึ่งพวกคนปลูกยาสูบมาถากถาง  และก็ที่หนองบัว        

ตีนเทือกเขาที่แบ่งอาณาจักรสยามและอาณาจักรพม่า ภายในเวลาสองสามปี คุณพ่อทำพิธีล้างบาปให้ผู้ใหญ่หลายร้อยคน     คุณพ่อคาดว่าจะประสบผลสำเร็จมากกว่านั้นอีก แล้วทันใดนั้น ก็เกิดปัญหายุ่งยาก

“บรรดาหัวหน้าพวกอั้งยี่” (สมาคมลับชาวจีน) ซึ่งหยุดการโฆษณาแผ่ขยายทุกชนิดมาได้หลายปีแล้ว เริ่มลงมือรณรงค์หาสมาชิกอีกครั้งหนึ่ง เสียค่าสมัครเป็นสมาชิกเพียงแค่ 4 บาทในราคานี้ แต่ละคนมีสิทธิ์ลงชื่อในบัญชีใหญ่ของสมาคมลับ และได้รับใบรับรองเป็นสมาชิกสมาคม ยิ่งกว่านั้น ยังมีคำรับรองจะได้รับความช่วยเหลือและความคุ้มครองปกป้องเมื่อถึงคราวจำเป็น มีการชักชวนทั่วไปในบรรดาชาวจีน ทุกคนสมัครเป็นสมาชิก “อั้งยี่” ยกเว้นพวกคริสตัง ในไม่ช้า  “พวกอั้งยี่”  ก็นึกว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แม้จะผิดต่อความยุติธรรม  คุณพ่อกรางด์เองก็เกือบตกเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายของพวกนี้ เรื่องมีดังนี้

“ชาวจีนที่หนองบัวคนหนึ่งเป็นคริสตังมาได้ไม่นานและเป็นบิดาของครอบครัวหนึ่งเขาไปขอให้คนต่างศาสนาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในหมู่บ้านคนหนึ่ง  คือบุตรชายคนเล็กของเขา ซึ่งได้ให้ไว้เป็นบุตรบุญธรรมก่อนที่เขาจะกลับใจมาเป็นคริสตัง เขาไม่ต้องการปล่อยให้บุตรอยู่ในปกครองของคนต่างศาสนาผู้นี้ ในตอนแรก เขาก็ไม่ขัดข้องอะไรเลย และคืนบุตรให้กับบิดา แต่ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหมู่บ้าน คุณพ่อกวางด์ ก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่า  คงเป็นเรื่องพวกคนต่างศาสนาทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น อันที่จริง  ครูคำสอนของคุณพ่อถูกฆ่าตายแล้ว แต่คุณพ่อยังไม่ทราบ พอเสียงอึกทึกเงียบไปได้สักสองสามนาที ก็มีคนหนึ่งมายืนอยู่ต่อหน้าคุณพ่อ และเชิญคุณพ่อให้ออกมาจากห้องเพื่อพูดธุระบางอย่าง มิชชันนารีผู้นี้มิได้ระแวงสงสัยอะไร จึงลุกขึ้นและตามชายคนที่เชิญคุณพ่อออกไป  พอมายังประตูห้อง  คุณพ่อก็สังเกตเห็นชาวจีนกลุ่มหนึ่งถือมีดและปืน ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว พวกนั้นมุ่งมาทำร้ายและต้องการฆ่าคุณพ่อ พวกคนร้ายวิ่งกรูไปที่คุณพ่อ ดึงหนวดคุณพ่อ ทั้งเตะและต่อยคุณพ่อกระเด็นออกไปข้างนอก แล้วยังใช้มีดกรีดคุณพ่อเป็นแผลใหญ่สองแผล ต่อจากนั้น ก็ลากคุณพ่อไปจนถึงสนามหญ้าบ้านคนต่างศาสนา ผู้มีอิทธิพลผู้นั้น ณ ที่นั้น เขาให้คุณพ่อนั่งลงกับพื้นพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง และมีชายหนุ่มสองคนกำลังถือขวานทำท่าจะตัดศีรษะคุณพ่อ แม่บ้านเข้ามาห้ามและช่วยชีวิตคุณพ่อไว้ ยิ่งกว่านั้น เธอยังเอายามาใส่เพื่อให้เลือดที่ไหลโชกนั้นหยุดลง ขอพระเป็นเจ้าโปรดประทานรางวัลให้ผู้กระทำดีนี้ด้วยเถิด! พวกฆาตกรใจร้ายไม่พอใจ จึงประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะทำอะไรดีกับคุณพ่อองค์นี้ หลังจากได้เถียงกันอยู่นาน พวกเขาจึงตัดสินใจพาคุณพ่อไปที่กาญจนบุรี ที่ว่าการจังหวัด

เวลานั้น มิชชันนารีผู้นี้เป็นห่วงกังวลอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น คือ กลัวว่าเมื่อพวกคริสตังของ คุณพ่อรู้เรื่องเข้า ก็จะพากันจับอาวุธมาแก้แค้นให้คุณพ่อ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนน้อย พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายไม่มีเหลือ ดังนั้น คุณพ่อจึงขอให้ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งบังเอิญอยู่ที่นั่นไปบอกพวกคริสตังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พวกคริสตังก็นอบน้อมด้วยน้ำตาอาบหน้า และแล้วคุณพ่อกรางด์ก็ถูกนำตัวไปขึ้นศาลของผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปล่อย คุณพ่อเป็นอิสระ และทำการลงโทษพวกวายร้ายนั้นอย่างหนัก

เมื่อหายดีพอสมควรแล้ว มิชชันนารีผู้นี้กลับไปที่หวายเหนียวอีก เวลานี้มีคริสตัง 800 คน วัดหนึ่งหลัง ที่สอนคำสอนหนึ่งที่ โรงเรียนสองแห่ง คุณพ่อเป็นผู้จัดการก่อสร้างทุกอย่างนี้เอง บ่อยครั้งคุณพ่อรู้สึกเจ็บเสียดทางด้านขวาและที่ไต ทานอาหารไม่ค่อยจะมีรสชาด และนอนไม่หลับทวีมากขึ้นเรื่อยๆ คุณพ่อสู้ทนต่อความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ไม่ขาดสายตลอดระยะเวลาสี่ ปี ค.ศ. 1888 คุณพ่อออกเดินทางไปฮ่องกง คุณพ่อเกิดรู้สึกปวดสะโพกอย่างแรงขึ้นมาโดยกระทันหันที่ฮ่องกงนั่นเอง อยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงเดินทางกลับกรุงสยามและทำงานด้วยความกระตือรือร้นเหมือนเช่นเคยต่อไป อนิจจา คุณพ่อเกิดรู้สึกอาการปวดสะโพกขึ้นมาอีก จึงต้องไปนอนพักรักษาตัวอีกครั้งหนึ่ง การกลับไปพักในบ้านเมืองของคุณพ่อ คงจะเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้คุณพ่อหายป่วยได้ อย่างไรก็ดี คุณพ่อต้องการออกจากมิสซังไปโดยมีคำสั่งให้นอบน้อมเชื่อฟังเท่านั้น แล้วคุณพ่อก็ไปพร้อมกับคุณพ่อแปรแบต์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1891

อากาศดีของเทือกเขาเวอเลย์ ทำให้คุณพ่อรู้สึกสบายขึ้นมาก และคุณพ่อก็พร้อมจะกลับมาอยู่ท่ามกลางพวกเราอีก แต่ก็ถึงแก่มรณภาพอย่างกระทันหันโดยมิได้คาดคิดเลย  ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1893