คุณพ่อ กาบริแอล อังฟองส์ ฮุย

 

 

คุณพ่อกาบริแอลอัลฟองส์ฮุย

Gabriel HOUILLE

 

คุณพ่อ กาบริแอล อัลฟองส์ ฮุย เกิดวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1866   ที่กรุงปารีส  คุณพ่อรับศีลโกนแล้วเมื่อเข้าบ้านเณรคณะมิสซังต่างประเทศ วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1886 รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1889  และออกเดินทางมามิสซังกรุงสยามวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1889  คุณพ่อมาถึงกรุงสยามปลายเดือนธันวาคม โรงเรียนอัสสัมชัญที่คุณพ่อกอลมเบต์ เพิ่งจัดตั้งขึ้น รับคุณพ่อเป็นอาจารย์ คุณพ่อสอนอยู่ที่โรงเรียนนี้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น นานพอได้เรียนภาษาไทยนิดหน่อย ได้ปรับตัวให้เข้ากับอากาศ ทำความรู้จักกับชาวเมืองและวัฒนธรรมพื้นเมือง มุ่งเตรียมตัวออกแพร่ธรรมที่เข้มข้นมากกว่า ซึ่งตรงตามที่คุณพ่อปรารถนาเป็นอย่างมาก
 
หลังจากได้ไปเรียนภาษาจีนที่บางนกแขวกล้ว คุณพ่อถูกส่งไปอยู่ที่หวายเหนียวในปี ค.ศ. 1892 และก็ประจำอยู่ที่นั่นจนถึงปี ค.ศ. 1916  เป็นเวลาเกือบ 25 ปี ในสมัยการเดินทางไปที่หวายเหนี่ยวลำบาก พวกคริสตังมีจำนวนไม่มากนัก จึงทำให้คุณพ่อมีเวลาเรียนภาษาต่างๆ ชาวบ้านเป็นคนบุกเบิกทำการเกษตร มีนิสัยบึกบึน ฉะนั้น ในระยะแรกพวกเขาคงทำให้มิชชันนารีใหม่อึดอัดใจ เพราะแต่ก่อนเคยเดินถนนลาดยางที่กรุงปารีส สะดวก สบายมากกว่าถนนหนทางตามชนบทในกรุงสยาม กระนั้นก็ดี คุณพ่อปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว คุณพ่อหมั่นเรียนรู้   ขนมธรรมเนียม ภาษาและแนวโน้มทางศีลธรรมอย่างลึกซึ้ง ฝิ่น การพนัน และเหล้า เป็นสนิมสังคมสามประเภทในบรรดาอีกหลายประเภทที่ระบาดในกรุงสยาม เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ ของภาคตะวันออกไกล การที่จะพูดว่ามิชชันนารีของเราลบล้างสังคมพวกนี้ออกไปจากเขตวัดของท่านทั้งหมด คงเหลือเชื่อ อย่างน้อย คุณพ่อคงพยายามแก้ไขมัน การพนันสำหรับชาวสยาม ฝิ่นสำหรับชาวจีนและเหล้า สำหรับทั้งสองชาติ เป็นราคตัณหาที่ต้านทานยาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขจัด แม้ในบรรดาพวกคริสตังเอง คงจะพูดได้ว่าคนส่วนมากไม่รู้จักความหมายและคุณค่าของเวลา สำหรับพวกเขา การเล่นการพนันตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยเฉพาะการเล่นไพ่ ไม่ใช่เรื่องพิศดารอะไรเลย ธุรกิจการงานต่างๆ ของพวกเขาคงถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อย แต่ไม่เท่าไร เมื่อเปรียบกับความสนุกเพลิดเพลินที่ได้รับ
 
คุณพ่อแม้จะเทศน์ด่าว่าบ้าง ลงโทษบ้างครั้งบางคราว พวกคริสตังก็ตัดนิสัยเหล่านี้ออกไปได้เพียงบางส่วน ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่คุณพ่อประจำอยู่ที่หวายเหนียว น้อยนักที่คุณพ่อได้รับความบรรเทาด้านจิตใจ ทางด้านวัตถุก็มีไม่มากเช่นกัน การดำเนินชีวิตของ คุณพ่อเป็นแบบฤาษีนักพรต พอใจในอาหารง่ายๆ บางครั้งก็ไม่พอเพียง พระเป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงทราบถึงการทรมานกายใจที่คุณพ่อทำกับตัวเองในบ้านไม้เรียบๆ ธรรมดาซึ่งมิได้กำลังแดดกำบังฝนเสมอไป เมื่อพวกเพื่อนมิชชันนารีมาเยี่ยมเยียน คุณพ่อได้มีเวลาชื่นชมยินดีและสบายใจขึ้นบ้าง ดังนั้น จึงมีเรื่องสนทนาพูดคุยกันไม่รู้จบยืดเยื้อไปถึงตอนเย็น เมื่อได้รับความเย็นชื้นพอสมควร กว่าจะจบกันได้ก็ดึกมาก คุณพ่อมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย ตัวคุณพ่อเองก็เข้าไปที่เมืองหลวงปีละครั้งหรือสองครั้ง ไปหาพระสังฆราชของท่าน และถือโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนมิชชันนารีทุกองค์ และก็อย่างที่คุณพ่อพูด คือ สัมผัสกับชีวิตที่เจริญทันสมัย คุณพ่อดีใจเพียงไรเมื่อได้รับจดหมาย ของที่สั่งจากฝรั่งเศส แล้วก็นำทุกอย่างกลับมาที่วัด ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ทั้งวันทั้งคืน คุณพ่ออ่านข่าวคราวต่างๆ ที่ล่วงเลยมาแล้ว เช่น การล้มรัฐบาลที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน ก็ไม่สำคัญเท่าไร ข่าวนี้เป็นข่าวใหม่สำหรับคุณพ่อ เมื่ออ่านพอใจแล้ว ก็เริ่มดำเนินชีวิตในระบบเดิมต่อไป และชั่วโมงสอนคำสอน และสอนเรียนที่คุณพ่อดำเนินการอยู่ เพื่อเกิดผลดีแก่วิญญาณทั้งหลาย วันอาทิตย์คุณพ่อเรียกพวกคริสตังมารวมกันอยู่รอบๆ คุณพ่อจ่ายแจกพระวาจาของพระเป็นเจ้าอย่างคล่องแคล่วและสอนให้รู้เรื่องพิธีกรรมต่างๆ เพราะคุณพ่อชอบจารีตพิธี คุณพ่อชอบบทเพลงด้วย และก็ต้องการให้พวกคริสตังร่วมกันร้องเพลง
 
ในปี ค.ศ. 1916 วัดใหญ่ที่แปดริ้ว เกิดขาดปลัดไป เพราะถูกเกณฑ์ไปทำสงคราม และคุณพ่อแปรแบต์ซึ่งชรามากแล้ว ไม่สามารถปกครองดูแลวัดและสาขาต่างๆ ลำพังคนเดียวได้ คุณพ่อฮุยได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ที่วัดนี้ คุณพ่อคงรู้สึกเสียดายที่ต้องจากชนบท พวกคริสตังซื่อๆ ง่ายๆ และวิถีทางดำเนินชีวิตที่คุณพ่อเคยชินอยู่เป็นเวลา 25 ปี แต่คุณพ่อก็มิได้แสดงอาการอะไรออกมาให้เห็น แต่สภาพเช่นนี้เป็นเพียงชั่วคราว
 
หลังจากที่พวกมิชชันนารีเข้าเกณฑ์ทำสงครามกลับมาแล้ว วัดคอนเซ็ปชัญก็ยังขาดเจ้าอาวาส คุณพ่อฮุยได้รับเลือกให้ไปอยู่วัดนี้ โดยพ่วงวัดบางเชือกหนังเข้าไปด้วย กลุ่มคริสตังนี้อยู่ริมคลองห่างจากเมืองหลวงไม่กี่กิโลเมตร ดังนั้น คุณพ่อจึงเป็น “เจ้าอาวาสในเมือง”  บ้าง  “เจ้าอาวาสในชนบท”  บ้าง  คุณพ่อรู้สึกชอบบางเชือกหนังมาก เพราะทำให้คุณพ่อคิดถึงวัดหวายเหนียวของคุณพ่อในสมัยก่อน  คุณพ่อรู้สึกสบายใจอยู่กับชาวชนบทมากกว่าอยู่กับชาวเมือง ซึ่งหลายคนมี
 
ตำแหน่งสำคัญที่ต้องทำงานถึงในพระราชสำนักของพระเจ้าแผ่นดินสยาม แต่คุณพ่อก็มิได้ปล่อยละเลยทั้งสอง เพราะคุณพ่อรู้จักทำตัวเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคนได้
 
การที่ได้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงทำให้คุณพ่อต้องติดต่ออย่างใกล้ชิด ส่วนหนึ่งกับทางรัฐบาล และอีกส่วนหนึ่งกับกลุ่มต่างๆ และโรงเรียนคาทอลิกต่างๆ ความรู้ภาษาไทยอย่างลึกซึ้งของคุณพ่อในไม่ช้าก็ถูกนำมาใช้ คุณพ่อพร้อมที่จะทำการเทศน์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศน์เข้าเงียบพวกนักเรียนในโรงเรียนของเรา ชอบการใช้ภาษาของคุณพ่อ จึงสมัครใจมาเรียนคำสอนกับคุณพ่อ บรรดาครูทั้งชายและหญิง บ่อยครั้งก็มีโอกาสได้ยินคุณพ่อพูด และมากกว่าหนึ่งครั้ง การกล่าวสรรเสริญของผู้เทศน์เป็นที่ชื่นชอบ ปีต่างๆ ที่คุณพ่อเกือบจะเรียกได้ว่า อยู่โดดเดี่ยวที่หวายเหนียว ทำให้สามารถสร้างสมแก่นสารอันแข็งแกร่งทางด้านจิต ซึ่งคุณพ่อสามารถเอามาใช้ประโยชน์แก่บรรดาผู้เข้าเงียบ การอ่านเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวางมิได้เป็นภัยแก่คุณพ่อ แต่ตรงกันข้าม กลับช่วยให้เสริมแต่งบทเทศน์และคำสอนให้อยู่ในสภาพสร้างสรรค์ เราอาจเกือบพูดได้ว่า ช่วงปีหลังๆ ในชีวิตของคุณพ่อ ใช้ไปในการจัดเตรียมและการเทศน์เข้าเงียบ ดังนี้ คุณพ่อจึงทำคุณประโยชน์มหาศาล ซึ่งพระเป็นเจ้าคงจะทรงพิจารณาเมื่อเวลาที่คุณพ่อจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร
 
โรคหัวใจที่คุณพ่อรู้สึกเป็นเมื่อไม่นานมานี้ แสดงอาการร้ายแรงมากขึ้นตอนปลายปี ค.ศ. 1927 สุขภาพซึ่งมีสภาพสมบูรณ์ดีมาจนถึงเวลานี้ กลับเป็นที่น่าวิตกอย่างรวดเร็วมากและนายแพทย์ ของมิสซังสั่งให้คุณพ่อพักผ่อนเต็มที่ เวลานั้น มิชชันนารีที่รักของเรากำลังเตรียมเทศน์เข้าเงียบประจำปีให้ภคินีคณะอูร์สุลินคุณพ่อปฏิบัติตามคำสั่งของนายแพทย์โดยไม่เต็มใจอย่างเห็นได้ชัด และคุณพ่อก็พักอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ด้วยความเศร้าสลด คุณพ่อรู้กสึกเสียดายที่สุขภาพดีๆ กลับทรุดหนักลงเช่นนี้ตอนอายุได้ 62 ปี  แต่พระเป็นเจ้าทรงทรงเห็นว่าคุณพ่อทำงานมาพอเพียงแล้ว จึงเรียกคุณพ่อไปรับรางวัลบั้นปลาย หลังจากได้รับศีลทาสุดท้ายสองสามสัปดาห์ล่วงหน้า และได้ถวายชีวิตอย่างอิสระเพื่อช่วยวิญญาณทั้งหลายให้รอด คุณพ่อถึงแก่มรณภาพด้วยโรคหัวใจ วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1928
 
เนื่องจากคุณพ่อฮุยมีนิสัยร่าเริงและใจดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นมิชชันนารีที่เสียสละ เป็นเพื่อนที่มิชชันนารีทุกองค์ชอบพอรักใคร่ แม้แต่ผู้ที่มิได้มีแนวความคิดอย่างท่านในรูปแบบการปกครอง และในวิธีการแพร่ธรรมก็ตาม คุณพ่อฮุยจึงทิ้งความทรงจำที่สร้างสรรค์ไว้ในมิสซังกรุงสยาม.