สังฆมณฑลอุบลราชธานี อาสนวิหารแม่พระนิรมล

 
604 ถ.พรหมราช
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000 
โทร.0-4526-2656 โทรสาร 0-4526-1239
 
เป็นวัดคาทอลิกวัดแรกของภาคอีสาน คนทั่วไปนิยมเรียกว่า “วัดโรมัน” พระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส เป็นผู้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี  ค.ศ.1881 เดิมเป็นวัดเล็กๆ  มีสัตบุรุษประมาณ 30 คน ต่อมาเป็นศูนย์กลางของงานแพร่ธรรมในภาคอีสานอยู่เป็นเวลายาวนานในอดีต จนกลายเป็นวัดขนาดใหญ่และเป็นวัดศูนย์กลางของสังฆมณฑลอุบลราชธานี ปัจจุบัน มีสัตบุรุษประมาณ 3,700 คน
 
ก่อตั้งวัดโดยพระสังฆราชหลุยส์ เวย์ ซึ่งเป็นพระสังฆราชปกครองมิสซังคาทอลิกทั้งในประเทศไทย และลาว ได้แต่งตั้งคุณพ่อยวง บัปติสต์  โปรดม และคุณพ่อซาเวียร์  เกโก
 
พระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส ให้เดินทางจากกรุงเทพฯ มายังเมืองอุบลฯ เพื่อเริ่มงานแพร่ธรรมในภาคอีสาน สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาแพร่ธรรมที่เมืองอุบลฯ  สืบเนื่องมาจากพระสังฆราชหลุยส์  เวย์  ได้รู้จักกับเจ้าพรหมเทวาเสด็จหน่อคำข้าหลวงเมืองอุบลฯ  เมื่อเจ้าพรหมเทวากลับไปกรุงเทพฯ มักจะพบปะกับคณะธรรมทูต และปรารภว่ายินดีต้อนรับคณะธรรมทูตที่จะไปแพร่ธรรมอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของท่าน ดังนั้นคณะคุณพ่อพร้อมด้วยครูคำสอน 1 คน และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง จึงได้เดินทางมาถึงเมืองอุบลฯ  เมื่อวันที่ 24 เมษายน  ค.ศ.1881 คณะของคุณพ่อได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเป็นอย่างดี โดยจัดให้คณะคุณพ่อพักอยู่ที่ห้องด้านหนึ่งของศาลาจังหวัดเป็นการชั่วคราว ขณะที่พักอยู่ที่ศาลากลาง คณะคุณพ่อก็ได้ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกพวกกุลาจับตัวมาจากเมืองพรวน ในแคว้นลาว จำนวน 18 คน เพื่อขายเป็นทาสจนได้รับอิสระ บรรดาทาสเหล่านี้ได้ขออยู่ในความคุ้มครองของคุณพ่อและได้สมัครเรียนคำสอนเป็นคาทอลิกรุ่นแรกของเมืองอุบลฯ 
 
 
คณะคุณพ่อได้ขอร้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองช่วยจัดหาที่ดินเพื่อปลูกสร้างที่อยู่อาศัย เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจึงได้มอบที่ดินทางทิศตะวันตกของเมืองอุบลฯ ให้เป็นบริเวณบึง (บุ่ง) ตามลุ่มฝั่งแม่น้ำมูล เคยมีคนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่มาก่อนแต่ได้ละทิ้งไปเพราะอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบ มีไข้ป่าและโรคระบาดคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่บริเวณนี้ชาวบ้านเรียกว่า “บุ่งกะแทว” เมื่อคุณพ่อสำรวจดูแล้วก็มีความพอใจและยังได้พบสวนแห่งหนึ่งซึ่งเจ้าของทำการเพาะปลูกเพียงครึ่งเดียว คุณพ่อโปรดม จึงซื้อไว้ แล้วคุณพ่อก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสวนนั้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ.1881ต่อมาเมื่อคุณพ่อได้ซื้อบ้านทรงลาว  เป็นบ้านมีใต้ถุนสูงหลังเล็กๆ  บ้านหลังนี้ใช้เป็นโรงสวดและวัดน้อยหลังแรกอีกทั้งยังเป็นที่พักของคุณพ่อด้วย ส่วนคณะผู้ติดตาม พวกทาสที่คุณพ่อได้ช่วยให้ได้รับอิสระ และคนเจ็บป่วยพิการที่ขออยู่ในความคุ้มครองของคุณพ่อ ก็พากันสร้างกระท่อมอยู่ใกล้ๆ กับคุณพ่อ  เป็นกลุ่มคริสตชนกลุ่มแรกของเมืองอุบลฯ มีจำนวนประมาณ 30 คน คณะคุณพ่อและคริสตชนกลุ่มแรกนี้มีความศรัทธาต่อแม่พระมาก  จึงได้เลือกแม่พระเป็นองค์อุปถัมภ์ของวัดน้อยของพวกเขา  โดยตั้งชื่อวัดว่า “วัดแม่พระนฤมลทิน”
 
การเติบโตของคริสตชนบุ่งกะแทว ด้วยความปรารถนาที่จะช่วยวิญญาณให้รอด บรรดาพระสงฆ์และนักบวชที่มาอยู่บุ่งกะแทวได้เป็นผู้นำในการสืบสานงานอภิบาลและงานแพร่ธรรมต่อมาเรื่อยๆ ทำให้สัตบุรุษค่อยๆเพิ่มขึ้น สัตบุรุษรุ่นแรกๆ ประกอบด้วยทาสเชลยที่คุณพ่อได้ช่วยให้ได้รับอิสระ  คนเจ็บป่วย  คนยากจนที่ได้รับความช่วยเหลือ คนที่มาเข้าศาสนาเพราะกลัวอำนาจผีและชาวเวียดนาม ซึ่งชาวเวียดนามที่มาอยู่อุบลฯ นี้  พวกแรกเป็นชาวเวียดนามที่มาค้าขายและตั้งหลักแหล่งอยู่ที่อุบลฯก่อน ต่อมาภายหลังจึงมีชาวเวียดนามหนีการเบียดเบียนศาสนาและภัยการเมืองอพยพตามมามากขึ้นเรื่อยๆ โยเฉพาะในปี ค.ศ.1946  และปีต่อๆ มาได้มีชาวเวียดนามอพยพมาอยู่ที่อุบลฯ  เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดีขณะเดียวกันก็ได้มีสัตบุรุษอีกส่วนหนึ่งอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะพื้นที่ทำนาบริเวณบุ่งกะแทวมีน้อย และการทำนาไม่ค่อยได้ผล  เช่น  ในปี ค.ศ.1885 และปีต่อๆ มา สัตบุรุษหลายครอบครัวได้อพยพมาอยู่ที่บ้านคำเกิ้ม จังหวัดสกลนคร บ้านบัวท่า บ้านวังกางฮุง บ้านคำกลาง และที่ใกล้เคียง สัตบุรุษเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้บุกเบิก จัดตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นใหม่ในหมู่บ้านเหล่านั้น  ในรายงานโอกาสฉลองครบรอบ 25  ปี  ของวัดบุ่งกะแทว เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1906 ปรากฏว่าที่วัดบุ่งกะแทว บัวท่า และวังกาฮุง  ซึ่งสมัยนั้นใช้บัญชีวัดเล่มเดียวกัน  มีสัตบุรุษจำนวน 1,008  คน  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนลาวภูเทิงและเวียดนาม
 
อนึ่ง เหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงหลังสงครามอินโดจีนบังคับให้ชาวเวียดนามต้องอพยพออกจากตัวจังหวัดไปอยู่ที่บ้านปากเซน้อยบ้าง  ที่พิบูลมังสาหารบ้างและที่อื่น  จนกระทั่งถึงช่วงปี  ค.ศ.1961 - 1962 สัตบุรุษชาวเวียดนามจำนวนมากจึงได้พาครอบครัวอพยพกลับไปอยู่ประเทศเวียดนามหรือที่อื่นกลุ่มคริสตชนวัดบุ่งกะแทวได้เติบโตขึ้นบ้าง ถดถอยลงบ้างอย่างนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีผู้รับศีลล้างบาปที่วัดนี้จำนวน  9,750 คน นอกจากงานอภิบาลและงานแพร่ธรรมแล้ว บรรดาคุณพ่อยังต้องเอาใจใส่จัดให้ชาวบ้านอยู่อาศัยในที่ดินที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมอบให้ในบริเวณบุ่งกะแทว ที่ดินที่จัดให้ชาวบ้านอยู่อาศัยนั้นเป็นที่ดินเพื่อทำประโยชน์ของวัด  มีพื้นที่ประมาณ 300 ไร่ ต่อมาการจัดให้ชาวบ้านอยู่ในที่ดินวัดได้เกิดมีปัญหายุ่งยากมากจนกระทั่งปี ค.ศ.1958 พระสังฆราชเกลาดิอุส บาเยต์ จึงได้บอกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 270 ไร่ ทางวัดจึงมีที่ดินเหลืออยู่เฉพาะส่วนที่เป็นพื้นที่ตั้งวัด  อาราม สุสาน และโรงเรียน ซึ่งอยู่กลางชุมชนบุ่งกะแทวจนทุกวันนี้ สำหรับสถานที่ตั้งวัดและโรงเรียนของวัดในปัจจุบันมีพื้นที่ประมาณ 16 ไร่เศษ
 
การก่อสร้างวัดหลังใหม่  ได้กล่าวแล้วว่าตั้งแต่เริ่มแรกที่คณะคุณพ่อได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บุ่งกะแทว เมื่อปี ค.ศ.1881 นั้น คณะคุณพ่อได้ซื้อบ้านมาปลูกเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นวัดน้อยหลังแรกด้วย  ต่อมาจึงจำเป็นต้องสร้างวัดหลังใหม่ที่ คุณพ่อตาแบง ได้บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ.1884 ว่า “ที่อยู่และวัดมีสภาพแย่มาก ไม่มีอะไรประดับนอกจากเศษผ้ารอบแท่น” จำนวนคริสตังเพิ่มมากขึ้น ต้องต่อเติมห้อง 1 หรือ 2 ห้อง ออกไปเรื่อยๆ ดังนั้น ในปี ค.ศ.1894 คุณพ่อเจ้าวัดและสัตบุรุษจึงได้เริ่มลงมือก่อสร้างวัดอย่างจริงจังโดยชาวบ้านบุ่งกะแทว ได้ช่วยกันเท่าที่จะทำได้ เช่น ไปตัดต้นไม้ในป่าดงดิบทางทิศตะวันตกของบ้านสีฐานเพื่อใช้เป็นเสา  และสามารถตั้งเสาวัดใหม่ได้ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1895   เสามีความสูง 10 เมตร ใช้เวลาในการตั้งเสา 10 วัน บริเวณบุ่งกะแทวมีโรงเตาเผาอิฐและโรงเผากระเบื้อง ผนังของวัดจึงทำด้วยอิฐและหลังคามุงด้วยกระเบื้อง การก่อสร้างเป็นไปด้วยความล่าช้าเนื่องจากช่างไม้  และช่างปูนฝีมือดีมีเพียงอย่างละคน แต่ชาวบ้านก็จับกลุ่มๆ ละ 10 คน ผลัดเปลี่ยนกันมาช่วยช่างในการก่อสร้าง
 
ที่สุดคุณพ่อโปรดม  ก็ได้ทำพิธีเสกวัดหลังแรกใหม่ของภาคอีสานอย่างสง่าเมื่อวันที่ 16 มกราคม  ค.ศ.1898 วัดแรกหลังใหม่นี้กว้าง 12 เมตร ยาว 28  เมตร และใช้อยู่ประมาณ 70 ปี  วัดแม่พระนฤมลทินได้เป็นศูนย์กลางของงานแพร่ธรรมในภาคอีสานตลอดมาจนถึงปี ค.ศ.1953 เมื่อทางกรุงโรมประกาศแยกมิสซังภาคอีสานออกเป็น 3  มิสซัง  คือ มิสซังท่าแร่ - หนองแสง มิสซังอุดรธานี และมิสซังอุบลราชธานี  วัดแม่พระนฤมลทินจึงกลายเป็นอาสนวิหารของสังฆมณฑลอุบลราชธานี  
 
ครั้นถึงสมัยคุณพ่อมอรีส  บริสซอง เป็นเจ้าอาวาสระหว่างปี ค.ศ.1989 - 1968 ปรากฏว่าวัดอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก คุณพ่อจึงตัดสินใจสร้างวัดหลังใหม่ห่างจากวัดหลังเก่าทางทิศตะวันตกประมาณ 30 เมตร เริ่มวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม  ค.ศ.1965  วัดใหม่นี้สร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลัง ลักษณะเกือบเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 เมตร ไม่มีเสากลางวัดเลย จุคนได้ประมาณ 1,000 คน ผนังทำเป็นเสาตั้งเรียงซ้อนกัน มีช่องให้ลมผ่านได้  หลังคาเป็นแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กคล้ายกลีบดอกบัวขนาดใหญ่ 3 กลีบ มีช่องแสงปิดด้วยกระจกพลาสติกพาดจากยอดสูงตรงกลางยาวลงไปตามรอยเชื่อมของแผ่นหลังคาทั้ง 3 ด้าน เพื่อให้แสงสว่างภายในวัดและตรงยอดศูนย์กลางของหลังคานั้นได้ติดตั้งไม้กางเขนสีทอง สูงจากพื้นดินประมาณ 30  เมตร และพระสังฆราชเกลาดิอุส บาเยต์ ได้ทำพิธีเสกเมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1967 
 
ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปี ของการแพร่ธรรมในภาคอีสานและของวัดบุ่งกะแทว ในปี ค.ศ.1981 คุณพ่อโจเซฟ  เตรบาออล เจ้าวัดและสัตบุรุษได้สร้างซุ้มประตูวัดเป็นอนุสรณ์และติดป้ายชื่อวัดว่า “อาสนวิหารแม่พระนิรมล”
 
อาสนวิหารแม่พระนิรมลอุบลราชธานี  ก่อสร้างมาเกือบ 50 ปีแล้ว  หลังคาคอนกรีตรั่ว  พื้นที่บางแห่งแตกร้าว  อากาศภายในอาคารร้อนอบอ้าว  สังฆมณฑลอุบลฯ จึงมีมติให้ก่อสร้างอาสนวิหารขึ้นใหม่ 
 
 
และได้มีพิธีเปิดและถวายอาสนวิหารแม่พระนิรมลอุบลราชธานีหลังใหม่ใน วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2014 โดยมีพระสังฆราชฟิลิป บรรจง ไชยรา ร่วมกับบรรดาพระสังฆราช และพระสมณทูต ได้ให้เกียรติมาร่วมฉลองในครั้งนี้ด้วยพร้อมพระสงฆ์ นักบวช และสัตบุรุษ จำนวนมาก พิธีเสกอาสนวิหารเป็นไปอย่างสง่างามมาก และชวนศรัทธามาก
 
กำหนดเวลาการถวายมิสซา
 
วันอาทิตย์  6.30 น , 9.00 น., 16.00น.
วันธรรมดา  6.00 น.
วันเสาร์  06.00 น., 19.30 น. 
 
คณะกิจกรรมฝ่ายแพร่ธรรมสภาวัด
            คณะพลมารี,  คณะกรรมการคำสอน, กลุ่มพลังรักในพระจิตเจ้า, กลุ่มข้าราชการครูคาทอลิก, กลุ่มศาสนสัมพันธ์, 
            กลุ่มพลศีล,กลุ่มเยาวชน
 
คณะกิจกรรมฝ่ายสงเคราะห์และพัฒนา
            บ้านพักคนชรา, คณะนักบุญวินเซนต์เดอปอล, โครงการซีซีเอฟ, กลุ่มส่งเสริมชีวิตครอบครัว,  
            สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแม่มูลจำกัด,  หอพักสตรีวัดคาทอลิกอุบลฯ  โรงเรียนของวัดโรงเรียนอนุบาลพระกุมาร
 
จากหนังสือทำเนียบวัดคาทอลิกในประเทศไทย หน้า 540-542