จดหมายภาษาฝรั่งเศส ของ ท้าวทองกีบม้า ในแผ่นดินพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) แห่งอยุธยา

ชื่อเสียงของท้าวทองกีบม้า หรือ นางมารี กีมาร์ เดอ ปิน่า เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้คิดค้นสูตรตำรับคาวหวานอันเลื่องชื่อ เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด และขนมในตระกูลฝรั่งต่างๆ อันที่จริงแล้วไม่มีผู้ใดหรือหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่านางเป็นผู้คิดประดิษฐ์สูตรขนมขึ้น เพียงแต่ “เล่ากัน” ว่านางเป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ที่น่าจะได้ใช้เวลาที่ลพบุรีและบางกอกในการคิดค้นอาหารคาวหวานเพื่อรับรองแขกบ้านแขกเมืองคำเล่าลือนี้ต่อมากลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเชื่อถือกัน และดูจะกลายเป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ในที่สุด
 
บทความขนาดสั้นชิ้นนี้ ไม่มีจุดประสงค์ที่จะพิสูจน์ว่าขนมต่างๆ เหล่านี้มาจากไหนและใครเป็นคนคิดประดิษฐ์ขึ้น แต่จะพิจารณาสถานะของนางฟอลคอนที่ปรากฏในเอกสารทางประวัติศาสตร์ว่านางได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร เพราะหลังจากที่สามีของนางคือ เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน เสียชีวิตลง จากนั้นไม่นานพระเพทราชาก็ปฏิวัติยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชีวิตของนางจึงกลายเป็นแม่หม้ายที่มีภาระเลี้ยงดูลูกชาย และหาเลี้ยงชีวิต ทั้งในฐานะของเจ้าพนักงานวิเสท ที่ทำหน้าที่ในพระราชวังหลวง รวมทั้งนำเสนอบันทึกของชาวต่างชาติที่ได้พบเห็นนางด้วย และที่สำคัญคือจดหมายฉบับหนึ่งของนางที่เหลือตกทอดมาจนปัจจุบัน
 

เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน
สามีของท้าวทองกีบม้า
 
ประวัติชีวิตนางฟอลคอน
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย และปรามินทร์ เครือทอง อธิบายประวัติของมาดามฟอลคอนไว้ในหนังสือเรื่องการเมืองในประวัติศาสตร์ “ขนมหวาน” ของท้าวทองกีบม้าฯ ว่านางเป็นสตรีลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ชื่อของนางสะกดได้หลายแบบ เช่น มารี ปินยา เดอ กีร์มา หรือ มารี ชีมาร์ด หรือ แคทเทอรีน เดอ ทอร์ควิมา อย่างไรก็ตาม ในจดหมายฉบับที่ผู้เขียนนำเสนอนี้นางเองใช้ชื่อว่า “ดอญ่า กูโยม่า เดอ ปิน่า”
 
บรรพบุรุษฝ่ายบิดาของนางนั้นน่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นและเชื้อสายโปรตุเกส ซึ่งถูกขับไล่ออกจากประเทศหลังจากที่ โชกุน ฮิเดะโยชิ ขัดขวางการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และขับไล่ชาวญี่ปุ่นที่เข้ารีตให้ออกจากประเทศ กลุ่มชาวญี่ปุ่นนี้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่หมู่บ้านญี่ปุ่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับหมู่บ้านโปรตุเกส จึงเป็นเหตุให้นางฟอลคอนคุ้นเคยกับหมู่บ้านทั้งสองนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเติมโตขึ้น นางคงใช้ชีวิตอยู่ภายในหมู่บ้านหรือค่ายนั้นและได้พบกับฟอลคอนซึ่งเริ่มเข้าทำงานในสยามกับพระคลังที่ต้องติดต่อกับชาวต่างชาติเสมอ ฟอลคอนเองก็คุ้นเคยกับหมู่บ้านโปรตุเกสเป็นอย่างดีมาก่อน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าฟอลคอนนั้นพูดโปรตุเกสได้เป็นอย่างดีด้วย
 
หลังจากที่ฟอลคอนเข้าทำงานในสยามแล้ว ก็ได้แต่งงานกับนางฟอลคอน จากนั้นนางได้ช่วยเหลือสามีดูแลรับรองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในสยาม ทั้งพ่อค้า บาทหลวง และทูต ทั้งที่อยุธยาและที่ลพบุรี จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๓๑
 

ปก การเมืองในประวัติศาสตร์ "ขนมหวาน"
ของท้าวทองกีบม้า "มาดามฟอลคอน"
"ขนมไทย" หรือ "ขนมเทศ"
สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖
การปฏิวัติ ค.ศ. ๑๖๘๘/พ.ศ. ๒๒๓๑
การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ หรือ ค.ศ. ๑๖๘๘ เป็นการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์อยุธยาเพราะเป็นปีที่สิ้นสุดรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเริ่มต้นรัชกาลพระเพทราชา ทั้งถือกันว่าเป็นยุคของการเสื่อมความนิยมในชาวฝรั่งเศสด้วย
 
โดยสรุปนั้นการปฏิวัติที่เกิดขึ้นมีข่าวลือล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระประชวร และโปรดชาวต่างชาติมากเกินไป และมีข่าวรั่วไหลออกมาว่าฝรั่งเศสจะนำเรือติดอาวุธเข้ามายึดครองสยาม ข้อสันนิษฐานสำคัญคือ ออกพระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) เป็นผู้เข้าใจและเห็นความเคลื่อนไหวของฝรั่งเศสทั้งหมด เพราะในคราวที่โกษาปานเดินทางไปฝรั่งเศสนั้น อัครมหาเสนาบดีเซนเณอเล่ย์ (Seignelay) ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้กล่าวถึงการขอเมืองบางกอกและมะริดให้กับฝรั่งเศสเพื่อตั้งสถานีการค้า พระเพทราชาคงทราบข่าวความเคลื่อนไหวนี้เช่นกันและหาทางกำจัดชาวฝรั่งเศสออกไปจากราชอาณาจักร
 
ในปี พ.ศ. ๒๒๓๐-๓๑ กลุ่มอำนาจทางการเมืองของอยุธยาแบ่งเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มขุนนางเก่าที่มีบทบาทมาแต่ครั้งรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลุ่มนี้อาจนำโดยพระเพทราชาและออกหลวงสรศักดิ์ ผู้ซึ่งมีสถานภาพเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลุ่มที่ ๒ คือกลุ่มขุนนางใหม่ที่เลื่อนสถานภาพขึ้นและมีพระปีย์หรืออาจจะเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศ สนับสนุนก็เป็นได้ พระปีย์นั้นปรากฏในเอกสารต่างชาติว่าเป็นหุ่นเชิดของกลุ่มอื่นๆ และมีความต้องการขึ้นเป็นกษัตริย์เช่นเดียวกัน กลุ่มที่ ๓ คือกลุ่มชาวฝรั่งเศสที่นำโดยเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ หรือ ฟอลคอน ที่พยายามใช้สถานการณ์สร้างโอกาส เช่น การเดินทางเข้ามาของกองทหารฝรั่งเศส เป็นต้น
 
เมื่อพระเพทราชาทรงเริ่มแผนการปฏิวัติในต้นปี พ.ศ. ๒๒๓๑ นั้น แผนการขั้นแรก คือ การพยายามกันกลุ่มคนต่างๆ ไม่ให้เข้าใกล้องค์สมเด็จพระนารายณ์มหราช สำหรับกลุ่มขุนนางใหม่นั้นไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะเจ้าฟ้าอภัยทางอยู่ที่อยุธยาเป็นหลัก พระเพทราชาจึงพยายามกันฟอลคอนให้ออกมาจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  และไม่ให้โอกาสเข้าเฝ้าบ่อยครั้งเท่าเดิมนัก กระทั่งนายทหารฝรั่งเศสบางคนก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน เช่น พันตรี โบชอง (Beauchamp) บันทึกว่า “นับแต่เกิดสุริยุปราคาแล้ว เมอซิเออร์ก็องสต๊องส์ก็ไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินอีกเลย แม้ว่าเขาจะเดินทางเข้าไปในพระราชวังทุกวันดังเช่นปกติก็ตาม ด้วยเหตุดังนั้นเขาจึงพยายามหาหนทางในการเข้าเฝ้า เขาจึงได้ไปขอร้องโปมาร์ต แพทย์ประจำพระองค์ว่า ขอนำบาทหลวง เดอแบส บาทหลวงเยซูอิตเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน โดยกราบบังคมทูลว่าท่านผู้นี้มีความสามารถยิ่งในทางด้านการรักษาและด้วยวิธีการรักษาของท่านคงจะทำให้พระอาการประชวรทุเลาลงได้ เมอซิเออร์โปมาร์ตรับปากว่าจะทำตามที่เขาบอก แต่พระเจ้าแผ่นดินกลับไม่ได้เสด็จออกให้บาทหลวงเดอ แบสถวายการรักษาเลย” จากนั้นพระเพทราชาจึงกำจัดบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะฟอลคอน เพราะพระองค์เองก็ต้องประเมินอำนาจของฝรั่งเศสที่ดูเหมือนว่าอยู่ในอารักขาของฟอลคอนแต่เริ่มแรกได้ว่ามีมากพอสมควร แต่ครั้นเหตุการณ์กลับบ่งชี้ว่ากองหทารฝรั่งเศสมีปัญหาภายในกันเอง เพราะต่างก็ระแวงระวังและไม่แน่ใจว่าตนนั้นต้องฟังใคร หรือเชื่อคำสั่งใดระหว่างฟอลคอนและ นายพลเดส์ฟาร์จ (Desfarges) ก็ยิ่งเป็นช่องทางให้พระเพทราชาพยายามแยกอำนาจของฝรั่งเศสห่างออกจากกันมากขึ้น
 

แผนที่กรุงศรีอยุธยาในจดหมายเหตุลาลูแบร์
แสดงที่ตั้งหมู่บ้านญี่ปุ่น และหมู่บ้านโปรตุเกส (ในวงกลม)
สถานที่พำนักในช่วงต้นและปลายของชีวิต
 
เมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าพระเพทราชา ออกหลวงสรศักดิ์ อ่านหมากกลของฝรั่งเศสออกและเป็นผู้กู้ชาติคืนมาได้ทางหนึ่ง
 
กลลวงอย่างหนึ่งที่พระเพทราชาให้อย่างง่ายดายคือ บอกฟอลคอนว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้ฟอลคอนเฝ้าที่พระราชวังเมืองลพบุรี แต่กลลวงนี้ซับซ้อนกว่าปกติคือ พระเพทราชาปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จะทรงจับพระเพทราชาในฐานะกบฏ ข่าวเช่นนี้ย่อมทำให้ฟอลคอนออกมาจากที่พักได้ง่ายกว่าที่จะบอกเพียงว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้เข้าเฝ้าเป็นแน่แท้ แล้วในที่สุดฟอลคอนก็หลงเชื่อข่าวนี้ บันทึกของ พันตรีโบชอล ซึ่งอยู่กับฟอลคอนในฐานะทหารักษาความปลอดภัยนั้นบันทึกว่า
 
“นับตั้งแต่นี้จนถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ข้าพเจ้าประจำอยู่ที่ละโว้ตลอดกับเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์ ซึ่งได้บอกถึงแต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา ในวันนั้นเองข้าพเจ้าได้รับประทานอาหารร่วมกับเขา เขาพูดกับข้าพเจ้าน้อยลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ครั้นพอลุกจากโต๊ะต่างก็แยกไปที่นอนของตน ประมาณ ๒ ชั่วโมงให้หลัง คือราวบ่าย ๓-๔ โมง เขาก็เรียกข้าพเจ้าเข้าไปพบ ครั้นข้าพเจ้าเข้าไปก็เห็นเขาอยู่กับบาทหลวง เดอ แบส เขาว่า “ท่านพันตรี เกิดเรื่องขึ้นแล้วละ พระเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะจับสมเด็จพระเพทราชา” ข้าพเจ้าบอกเขาว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ และมีอีกหลายอย่างน่าเคลือบแคลงสงสัย เขาควรจะให้พวกเราไปรวมตัวกันที่บ้านของเขาซึ่งปลอดภัยมากกว่า และข้าพเจ้าจะได้สั่งให้คนฝรั่งเศสและอังกฤษเตรียมพร้อมโต้ตอบศัตรู แต่เขากลับบอกว่า “ไม่” และย้ำ (สามถึงสี่ครั้งราวกับเป็นคนบ้าที่พยายามหาคำตอบ) ว่าให้ข้าพเจ้าไปยึดอาวุธจากกองกำลังชาวสยามที่ข้าพเจ้านำขึ้นมาจากบางกอก โดยอย่าให้พวกเขารู้ตัว ข้าพเจ้าว่าจะทำตามเหมือนกับที่เคยปฏิบัติมาก่อน พอข้าพเจ้าจะออกไป บาทหลวง เดอ แบสก็ถามเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์ว่าเขาจะเข้าวังหรือไม่ เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าจะให้ทหารไปด้วย” ในไม่ช้าข้าพเจ้าจึงไปที่กองกำลังทหารที่ข้าพเจ้ายึดอาวุธไว้และจัดให้เข้าแถว เมื่อเห็นเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์กำลังเดินทางไปพระราชวังเพียงลำพัง ข้าพเจ้าจึงไปดักรอข้างหน้าแล้วถามว่าจะไปที่ใด เข้าตอบว่า “จะไปพระราชวัง ตามฉันมาสิ” เมอซิเออร์ เชอวาลิเยร์เดส์ฟาร์จ (Chevalier Desfarges) และเดอแฟรตเตอวิลล์ (De Fretteville) ซึ่งออกมาล่าสัตว์เดินอยู่พร้อมอาวุธครบมือ ก็เข้ามาถามข้าพเจ้าว่าจะไปไหน ข้าพเจ้าตอบว่า จะไปพระราชวังพร้อมด้วยเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์” ทั้งสองจึงเดินทางไปทำความเคารพ       และถามว่าปรารถนาจะให้พวกเขาไปด้วยหรือไม่    เมื่อเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์ตอบตกลง ทั้งสองก็ปลดอาวุธฝากไว้กับทหาร เว้นแต่ปืนพกที่พวกเขาไม่ทันได้ปลดออก พวกเราเดินเข้าไปในพระราชวังเพียง ๒๐ ก้าว เมื่อเข้าไปนั้นเอง ข้าพเจ้าก็บอกกับเมอซิเออร์ก็องต๊องส์ว่า “ฯพณฯ เหตุใดจึงไม่ออกคำสั่งให้ข้าพเจ้าจับสมเด็จพระเพทราชา” เขาตอบว่า “อย่าพูดอะไรอย่างนั้นเด็ดขาด” ในไม่ช้า เราก็เห็นสมเด็จพระเพทราชาพร้อมด้วยทหารกว่า ๒,๐๐๐ นาย แวดล้อมด้วยข้าบริพารเดินตรงเข้ามาหาเรา คว้าแขนเสื้อของเมอซิเออร์ก็องสต๊องส์แล้วว่า “อ้า มันนี่หละ” ว่าแล้วก็บอก ให้ขุนนางผู้หนึ่งเข้าไปจะจับตัดหัว เมอซิเออร์ก็องสต๊องส์อยู่ในสภาพเกือบใกล้ตาย หันหน้าไปทางสมเด็จพระเพทราชาเหมือนร้องขอชีวิต”
 
เมื่อฟอลคอนสิ้นสภาพ นางฟอลคอนซึ่งอยู่ที่บ้านที่ตั้งอีกราว ๒๐๐-๓๐๐ เมตร จากพระราชวังลพบุรีก็คงจะทราบเรื่องในที่สุด แต่ปัญหาต่อมาคือนางต้องเผชิญชีวิตอย่างไร เพราะลูกของนางคนหนึ่งก็เสียชีวิตไปไม่นานและฟอลคอนเองก็ไม่มีอำนาจพอที่นำศพลูกคนนี้ลงไปฝังที่อยุธยาได้ด้วย เหลือเพียงลูกชายอีกคนที่อยู่กับนาง บรรดาทรัพย์สินอันมีค่าของนางก็ต้องถูกริบเป็นของหลวงแต่บันทึกหลายฉบับของทหารก็ชี้ว่านางได้ฝากหีบสมบัติกับทหารฝรั่งเศสให้นำลงมาไว้ที่บางกอก ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่านางปรารถนาที่จะได้กลับฝรั่งเศสมากกว่าที่จะอยู่ในสยาม และคงหวังว่าที่ป้อมเมืองบางกอกและกองกำลังทหารของนายพลเดส์ฟาร์จนั้นจะเป็นเกราะป้องกันภัยจากสยามอันจะมาถึงตัวได้ในไม่ช้า
 

ภาพพิมพ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดย เป. แบร์ทร็องด์
จิตรกรชาวฝรั่งเศส พิมพ์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสราว พ.ศ. ๒๒๓๐
 
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่กองกำลังทหารฝรั่งเศสอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เพราะพระเพทราชาต้องการให้ นายพลเดส์ฟาร์จเดินทางขึ้นไปลพบุรี ขณะที่ทางทหารฝรั่งเศสซึ่งมีจำนวนไม่มากนักก็ต้องรักษาความปลอดภัยที่ป้อมปราการที่บางกอกและต้องหวาดระแวงกับการลอบต่อสู้ของชาวสยาม ขณะนั้นนางฟอลคอนหรือมาดามฟอลคอน ก็ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ด้วย นางจึงพยายามจัดการทรัพย์สินของตนแบ่งทยอยลงมาบางกอก ดังที่ พันตรี โบชองเขียนว่า เมื่อจะเดินทางกลับลงมาบางกอก “บาทหลวงเดอ ลิยอนน์ ท่านพระคลังพร้อมด้วยอุปทูตท่านที่ ๒ และข้าพเจ้าก็ออกเดินทางไปบางกอก เมื่อข้าพเจ้าอยู่บนหลังช้าง บาทหลวงโดลูส์นำหีบห่อลับ ๒ ห่อมอบให้ข้าพเจ้า เพื่อที่จะส่งต่อให้กับบาทหลวงคาร์มีล (Carmille) และบาทหลวงธียงวีลล์ (Thionville) ที่บางกอก
 
ห่อลับทั้งสองนี้ ต่อมาจะถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อย เมื่อพันตรี โบชองมาถึงบางกอกก็ไปพบบาทหลวงคาร์มีล “ข้าพเจ้าไปพบบาทหลวงคาร์มีลผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบหีบ ๒ กล่องที่บาทหลวงโดลูส์ได้มอบให้กับข้าพเจ้าอย่างลับๆ เพื่อส่งต่อถึงมือท่าน ท่านบาทหลวงรับไปและเข้าไปเปิดดูในห้องเพียงผู้เดียว หลังจากนั้น ๔ ชั่วโมงท่านก็นำหีบห่อมาคืนกับข้าพเจ้าและบอกว่าสิ่งของข้างในไม่ใช่สมบัติของพวกท่าน ท่านไม่ต้องการรับผิดชอบเพราะว่าหากยอมรับเอาไว้แล้วก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ บาทหลวงคาร์มีลต้องการคืนให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการเช่นกัน และเมื่อเห็นว่าข้าพเจ้ายืนยันเช่นนั้นเขาจึงวางหีบไว้บนโต๊ะและออกไป”
 
แต่ต่อมามีจดหมายมาจากเมืองละโว้ ความว่า
 
“ช่วงเวลานั้นเองบาทหลวงรัวเย่ บาทหลวงเยซูอิตได้เขียนจดหมายจากละโว้มาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งความว่า บรรดาห่อของทั้งปวงที่มาดามก็องสต๊องส์ฝากไว้กับข้าพเจ้านั้นไม่ใช่เป็นของนาง แต่เป็นของพระเจ้าแผ่นดินสยาม และข้าพเจ้าจะต้องนำไปคืนให้กับมือของท่านสังฆราช บาทหลวงเยซูอิตส่งจดหมายมาให้ข้าพเจ้าราวกับว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ไปรับของมาจากมาดามก็องสต๊องส์ด้วยมือเอง ทั้งๆ ที่ท่านเองเป็นคนมอบหมายให้ข้าพเจ้านำไปส่งต่อให้บาทหลวงคาร์มีล ไม่ใช่เอาไปคืนให้ท่าน เพราะว่าหากชาวสยามรู้ความจริงเข้าแล้ว ก็คงจะเกิดปัญหากับทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งคนที่รู้ความลับและกับฝ่ายสามีหล่อน ข้าพเจ้านำจดหมายไปให้นายพลเดส์ฟาร์จอ่านดู เขาบอกให้ข้าพเจ้าเก็บห่อของไว้ก่อนจนกว่าสยามจะส่งคืนปืน ๔๐๐ กระบอกที่เขาให้เมอซิเออร์ก็องสต๊องส์ไปแทนค่าใช้จ่ายกลับคืนมา นายพลเดส์ฟาร์จเขียนจดหมายถึงพระคลังว่าจะคืนห่อของให้เมื่อได้รับปืน ๔๐๐ กระบอกตามที่ทุกคนรู้ แต่พระคลังตอบว่าในทันทีที่เราคืนห่อของท่านก็จะเอาเงินมาใช้คืนด้วยตัวท่านเอง ในที่สุดแล้วเวเรต์ก็เป็นคนนำไปคืนที่อยุธยา นายพลเดส์ฟาร์จซึ่งไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ก็สั่งให้ไปแจ้งบาทหลวงคาร์มีลและบาทหลวงธียงวีลล์ ข้าพเจ้าเปิดหีบห่อออกดูต่อหน้าบาทหลวง นายพลเดส์ฟาร์จ และเวเรต์ ข้างในมีสายสร้อยยาว ๔ เส้น มีหมวก ๑ ใบ สร้อยคอ ๒ คู่ มีตุ้มหูไข่มุก แหวนทองคำหลายขนาด ๔๘ วง มรกตชิ้นเขื่องน้ำงามมาก ๑ ชิ้น เข็มกลัดจำนวนหนึ่ง ทับทิมเม็ดเล็กๆ แหวนฝังเพชรเม็ดเล็ก ๔ วง สร้อยทอง ๙ หรือ ๑๐ เส้น ก้อนทองคำ ๑๑ ก้อน หนักก้อนละกว่า ๓ มาร์ก ก้องทองคำ ๘ ก้อนๆ ละ ๑๐ เอกูส์   กระดุม ๑ โหล ปิ่น ๖ อัน   เหรียญทอง ๑๒ เหรียญ   บาทหลวงจำได้ว่าทั้งหมดเป็นสิ่งของในหีบห่อที่บาทหลวงโดลูส์ให้กับข้าพเจ้าขณะออกจากละโว้   ไม่ใช่ของมาดามก็องสต๊องส์  เวเรต์ เป็นผู้รับไปคืนให้กับท่านพระคลังซึ่งท่านก็คืนปืน ๔๐๐ กระบอกให้กับเมอซิเออร์เดส์ฟาร์จผ่านทางอุปทูต”
 

แผนที่เมืองลพบุรี พ.ศ. ๒๒๓๐ โดย ม.เดอ ลามาร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศส
 
แล้วหีบสมบัติเหล่านี้ก็อันตรธานหายไป พร้อมกับชาวฝรั่งเศส
 
เมื่อนางฟอลคอนเดินทางมาถึงบางกอกในวันที่ ๔ ตุลาคม เวลา ๑๕ นาฬิกา นางมาพร้อมกับทหารฝรั่งเศสชื่อ แซงต์มารี (Saint Marie) ผู้ซึ่งช่วยเหลือนางมาจากอยุธยา ทหารฝรั่งเศสชื่อ โวลอง เดส์ แวร์แกง เล่าว่านางหนีออกหลวงสรศักดิ์ลงมา เพราะออกหลวงสรศักดิ์ปรารถนาจะได้ตัวนางเป็นภรรยาคนหนึ่ง แต่ไม่มีชาวฝรั่งเศสเห็นด้วยกับเหตุการณ์นี้ นายพลเดส์ฟาร์จไม่ประสงค์ให้นางกลับไปด้วย แต่บรรดาบาทหลวงต่างเห็นตรงกันข้ามคือสมควรคืนนางให้กับสยาม อาจเป็นด้วยเหตุที่ว่าเพื่อให้การเผยแผ่ศาสนาคริสต์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดังเดิม แต่นายพลเดส์ฟาร์จก็ไม่ยอม และเกรี้ยวโกรธนายทหารฝรั่งเศสที่พานางฟอลคอนลงมายังบางกอก บันทึกของนายพลเดส์ฟาร์จเองบันทึกตอนนี้ไว้ว่า
 

บันทึกของ พันตรี โบชอง ฉบับลายมือเขียนหน้าแรก
ซึ่งเชื่อว่าเป็นการคัดลอกจากลายมืออีกทอดหนึ่ง
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
“ขณะที่เรื่องทั้งปวงกำลังดำเนินไปอยู่ ก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมาอีกที อาจทำให้ทุกอย่างจบสิ้นลง นั่นคือ ภรรยาของเมอซิเยอร์ก็องสต๊องส์ หลังจากที่นางถูกทรมานอย่างหนัก ทั้งจากพวกแขนลายที่มีหน้าที่ควบคุม และจากอุปราชบุตรชายพระเพทราชาซึ่งหลงใหลในตัวนางแล้ว เพื่อให้สารภาพเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสามี นางได้หลบหนีมาบางกอก เมื่อขุนนางทราบเรื่องและพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบก็สั่งว่า หากเราไม่ส่งนางกลับคืน อาจจะไม่มีข้อตกลงใดใดเกิดขึ้น เขาเกรงว่าหากนางออกเดินทางพ้นอาณาจักรแล้ว หล่อนก็อาจจะครอบครองทรัพย์สินของสามีนางที่นำออกนอกอาณาจักรและอาจทำให้สูญหายได้ แม้ข้าพเจ้าจะวิตกกังวลกับเรื่องนี้มาก เพราะเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องและเกิดขึ้นในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน (เพราะชาวสยามยืนยันจะช่วยเหลือสิ่งของ เช่น นายท้ายเรือ เชือก สมอเรือและสิ่งอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางออกไป ซึ่งข้าพเจ้าคงจะไม่สามารถจัดหาได้ในช่วงเวลาเช่นนี้) แต่ข้าพเจ้าก็มิต้องการคืนนางไปโดยมาจัดการเรื่องความปลอดภัยของนางก่อน ข้าพเจ้าได้พยายามทูลขอพระเจ้าแผ่นดินให้นางได้เดินทางกลับไปพร้อมด้วย แต่ไม่มีใครฟังข้อเสนอของข้าพเจ้าเลย และการต่อสู้ก็มีทีท่าว่าจะปะทุขึ้นอีกทั้งอาจรุนแรงกว่าที่เคยมีมา พวกเขาได้จับกุมนายเวเรต์ซึ่งข้าพเจ้าได้ส่งไปให้อยุธยา เพื่อจัดการเรื่องต่างๆ มิชชันนารีและบาทหลวงเจซูอิตท่านหนึ่ง ที่อยู่ที่นั่นถูกคุมตัว พ่อแม่ของนางฟอลคอนก็ถูกทรมาน แม่ของหล่อนเขียนจดหมายมาหาข้าพเจ้าให้จัดการเรื่องต่างๆ โดยเร็ว ข้าพเจ้าจึงตกลงในข้อสัญญากับพระเจ้ากรุงสยามว่าจะทรงมอบอิสรภาพให้กับนางและครอบครัว มอบสิทธิที่นางจะแต่งงานกับผู้ใดก็ได้ตามปรารถนา และทรงสัญญาว่านางจะไม่ได้รับการทารุณใดใดอีก เมื่อได้รับคำมั่นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงส่งนางกลับคืนไป”
มีบันทึกอีกฉบับหนึ่งที่แสดงข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือจดหมายของบาทหลวง เดอ ลียอนน์ (De Lionne) ว่าด้วยเรื่องภรรยาคอนซตันซ์ตินฟอลคอน ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๖๙๒ (พ.ศ. ๒๒๓๕)  คือหลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติแล้ว ๔ ปี ดังนี้
 
“เมื่อภรรยาคอนซตันซ์ตินฟอลคอนได้หนีลงมาถึงบางกอกแล้ว พอพวกไทยได้ทราบเรื่องก็ได้มาขอให้มองซิเออร์เดฟาซ์ส่งตัวคืน มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิสว่าควรจะทำประการใดดี
 
ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เห็นมาดัมคอนซตันซ์หนีมาถึงบางกอกนั้น ก็ได้นึกอยู่แล้วว่ามองซิเออร์เดฟาซ์คงจะมาหารือเปนแน่ จึงได้ตรึกตรองในเรื่องนี้โดยเลอียด คงมีความเห็นในใจว่า มองซิเออร์เดฟาซ์ไม่ควรจะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย
 
ฝ่ายมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิสถูกมองซิเออร์เดฟาซ์เร่งให้ออกความเห็น ก็ไม่ได้พูดว่ากระไร นอกจากพูดว่าเรื่องนี้เปนเรื่องที่ลำบากมาก มองซิเออร์เดฟาซ์จึงมาถามความเห็นข้าพเจ้าๆ จึงได้ตอบว่าจะต้องตรึกตรองดูก่อน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าในเรื่องชนิดนี้ควรมองซิเออร์เดฟาซ์จะเรียกนายทหารผู้ใหญ่มาประชุมเพื่อขอความเห็นของนายทหารบ้าง การที่ข้าพเจ้าได้แนะนำไปเช่นนี้ก็โดยเชื่อว่าเปนหนทางที่ดีอย่าง ๑ แต่ข้าพเจ้าจะต้องสารภาพว่าข้าพเจ้าเชื่อใจด้วยว่าพวกนายทหารคงจะออกความเห็นไม่ยอมให้ส่งตัวด้วย
 
ครั้นมองซิเออร์เดฟาซ์ ได้เร่งให้ข้าพเจ้ากับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศออกความเห็นให้ในวันนั้นเอง เพราะเหตุว่าพวกไทยเร่งนักนั้น มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ จึงเห็นว่าควรจะเชื่อถ้อยคำของพวกข้าราชการไทยที่มาบอกมองซิเออร์เดฟาซ์ว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จะยอมทำสัญญารับรองว่าจะไม่ทำร้าย ต่อมาดัมคอนซตันซ์อย่างใดและจะไม่กีดขวางในการสาสนาของมาดัมคอนซตันซ์ ทั้งจะไม่ให้มาดัมคอนซตันซ์เสื่อมเสียอิสริยศอย่างใดด้วย จะได้ทรงยอมให้มาดัมคอนซตันซ์อยู่ได้ตามความพอใจ จะอยู่ในค่ายของพวกปอตุเกศหรือจะอยู่ในค่ายที่ติดต่อกับพวกบาดหลวงก็ได้ แลถ้ามาดัมคอนซตันซ์จะต้องการให้ปลูกบ้านให้อยู่ จะได้สร้างบ้านให้อยู่แลจะได้อยู่ในความปกครองของท่านสังฆราชต่อไป เมื่อได้ทำสัญญาดังนี้แล้วให้มองซิเออร์ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ไปยังกรุงศรีอยุธยา แลห้ามมิให้มองซิเออร์เดฟาซ์รับตัวมาดัมคอนซตันซ์ไว้อีก นี่แลเปนความเห็นของมองซิเออร์เอดเมเตโลโปลิศ ซึ่งเห็นว่าในครั้งนี้ควจจะไว้ใจในถ้อยคำของพระเจ้าแผ่นดินสยามได้
 

ภาพเขียนลายรดน้ำรูปฝรั่งชาวต่างชาติ (ชาวฝรั่งเศส)
สมัยอยุธยาที่หอเขียน วังสวนผักกาด
 
ครั้นมองซิเออร์เดฟาซ์มาถามความเห็นข้าพเจ้าๆ จึงได้ตอบว่าเปนที่เสียใจมากที่ข้าพเจ้าจะต้องออกความเห็นไม่ตรงกับความเห็นของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศผู้เปนหัวหน้าของข้าพเจ้า แต่เมื่อมองซิเออร์เดฟาซ์จะต้องการความเห็นของข้าพเจ้าโดยฉเพาะแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นว่ามองซิเออร์เดฟาซ์ไม่ควรจะเชื่อฟังถ้อยคำอย่างใดๆ ที่จะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์คืนให้แก่ไทย เมื่อได้ทำใจตกลงเช่นนั้นแล้วก็ควรจะป้องกันความลำบากต่อไปโดยพูดให้เปิดเผยว่า พวกฝรั่งเศสได้ตั้งใจแล้วที่จะไม่คืนตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย ใครๆ จะพูดว่าอย่างไรก็ไม่ฟัง เพราะฉนั้นอย่าให้พวกไทยมาพูดในเรื่องนี้อีกต่อไปเลย
 
พอข้าพเจ้าได้ออกความเห็นเช่นนี้ มองซิเออร์เดฟาซ์ก็ลุกขึ้นโดยโกรธข้าพเจ้ามากแลแสดงกิริยาไม่พอใจอย่างยิ่ง แล้วจึงพูดว่า “เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว การจะเปนไปอย่างไรก็แล้วแต่การเถิด” มองซิเออร์เดฟาซ์จึงขอให้มองซิเออร์เดอลาวีนช่วยเขียนจดหมายตอบในนามของมองซิเออร์เดฟาซ์ให้มีข้อความตรงกับที่ข้าพเจ้าได้แนะนำไว้
 
มองซิเออร์เดอลาวีนจึงได้ไปร่างจดหมายตอบ ใช้ถ้อยคำอย่างข้าพเจ้าพูดทุกอย่างมิได้เพิ่มหรือลดหย่อนอย่างใดเลย เมื่อได้ร่างเสร็จแล้วก็เอามาให้มองซิเออร์เดฟาซ์ดูว่าจะพอใจหรือไม่ ถ้าพอใจแล้วจะได้แปลเปนภาษาไทยต่อไป มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ตรวจดูเห็นว่าเปนสำนวนที่แรงนัก จึงขอให้มองซิเออร์เดอลาวีนเอาร่างไปให้มองซิเออร์เดเมเตโลโปลิศตรวจแลขอให้แก้ให้อ่อนลงสักหน่อย มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศจึงสั่งให้มองซิเออร์เดอลาวีนไปบอกกับมองซิเออร์เดฟาซ์ ว่าเมื่อได้ตรึกตรองต่อหน้าพระเปนเจ้าแล้ว ได้เห็นว่าเปนการจำเปนที่จะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย   ตามข้อความที่ไทยได้มาตกลง มิฉนั้นจะเปนการบาปหนาซึ่งไม่มีอะไรจะล้างบาปได้ ครั้นมองซิเออร์เดอลาวีนได้นำความไปบอกมองซิเออร์เดฟาซ์ตามที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศสั่งแล้ว จึงได้มาหาข้าพเจ้าแล้วเล่าให้ข้าพเจ้าฟังตามเรื่องที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศได้พูดไว้ ข้าพเจ้าจึงมาตรึกตรองอีกครั้ง ๑ ก็เห็นว่ามองซิเออร์เดฟาซ์เองก็มีความประสงค์จะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทย มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศผู้เปนหัวหน้าทางฝ่ายสาสนาแลเปนหัวหน้าข้าพเจ้าโดยตรงก็เห็นว่าจำเปนจะต้องส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ มิฉนั้นจะบาปหนาซึ่งไม่มีอะไรจะล้างบาปได้ ส่วนบาดหลวงรีโชต์ผู้รู้การสาสนาดียิ่งกว่าบาดหลวงเยซวิตทั้งหลาย ก็มีความเห็นพ้องด้วยว่าควรจะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ เพราะฉนั้นความเห็นของข้าพเจ้าตรงกันข้าม แต่จะไปขัดขืนไปก็ดูไม่ควร ข้าพเจ้าจึงไปหามองซิเออร์เดฟาซ์บอกว่าขอให้มองซิเออร์เดฟาซ์จัดการตามแต่จะเห็นควร ส่วนตัวข้าพเจ้าไม่จำเปนจะต้องออกความเห็นอย่างใด แต่มองซิเออร์เดฟาซ์ได้ขอให้ข้าพเจ้ากับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศเขียนความเห็นเปนลายลักษณ์อักษร ข้าพเจ้าจึงได้เขียนหนังสือบอกอย่างเดียวกับที่ได้พูดไว้ด้วยปาก มองซิเออร์เดฟาซ์จึงได้ตกลงทำตามความเห็นของมองซิเออร์เดอเมเตโปลิศแลความเห็นของตัวเองซึ่งตรงกัน เปนอันตกลงทำสัญญากับพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อทำเสร็จแล้วก็ได้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้ไทยรับไป
 
ครั้นต่อมาภายหลังเมื่อพวกเราได้ไปถึงเมืองปอนดีเชรีแล้ว มองซิเออร์เดฟาซ์จะต้องเขียนรายงานส่งไปยังเมืองฝรั่งเศส ได้มาตรวจความเห็นของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เขียนให้ไว้ หามีข้อความที่ให้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ไม่ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นดังนั้น มองซิเออร์เดฟาซ์จึงได้เอาแต่ความเห็นฉบับของมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศส่งไปยังฝรั่งเศส ส่วนฉบับของข้าพเจ้าก็ได้คืนต้นฉบับมาให้ข้าพเจ้า ความเห็นฉบับนี้ข้าพเจ้ายังรักษาไว้ในทุกวันนี้ในการเรื่องจะส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทยนั้น ข้าพเจ้ามีเกี่ยวด้วยเพียงเท่านี้เอง
 
ถ้าข้าพเจ้ามีเวลาพอ ข้าพเจ้าจะชี้เหตุผลให้ฟังโดยเลอียดว่าในการเรื่องนี้จะควรแลไม่ควรอย่างไร แต่เวลาไม่พอ แลถึงข้าพเจ้าจะไม่ชี้เหตุผลให้ฟังท่านก็ควรจะทราบได้จากทางอื่นเหมือนกัน ในที่นี้ข้าพเจ้าจะขอเพียงแต่ให้ท่านพิเคราะห์ดูข้อความในความเห็นที่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศได้ให้ไว้แก่มองซิเออร์เดฟาซ์ในการที่แนะนำให้ส่งตัวมาดัมคอนซตันซ์นั้น มีคำกล่าวว่าความเห็นอันนี้มิได้เกี่ยวทางโลกอย่างใด ซึ่งเปนหน้าที่ของมองซิเออร์เดฟาซ์อยู่แล้ว แต่ได้ออกความเห็นเช่นนี้โดยเดิรทางสาสนาเท่านั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิเคราะห์ในข้อนี้ เพราะเหตุว่าในส่วนตัวข้าพเจ้าเองเห็นว่า การที่มองซิเออร์เดฟาซ์คืนตัวมาดัมคอนซตันซ์ให้แก่ไทยนั้นเปนการไม่ควร แต่ถ้าจะคิดถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวด้วยฝ่ายบ้านเมืองก็ดูพอจะเห็นได้ว่าควรอยู่บ้าง แต่ถ้าจะเอาการสาสนามาพูดเปนการที่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่สักหน่อย เพราะฉนั้นในการเรื่องนี้ถ้าผู้ใดเห็นในทางสาสนาว่าเปนการบาป ก็ต้องตาหนักอยู่กับมองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ แต่ถ้าจะดูทางโลกเห็นว่าเปนการผิดแล้ว ก็ต้องหนักอยู่แก่มองซิเออร์เดฟาซ์ผู้เดียวหาเกี่ยวแก่มองซิเออร์เดอเมเตโลโปลิศ ซึ่งได้พูดแล้วว่าจะไม่ออกความเห็นในสิ่งที่เกี่ยวด้วยการบ้านเมืองไม่”
 
บทสรุปในชีวิตของนางฟอลคอนก็คือนางถูกส่งตัวกลับไปยังสยาม แล้วกองทหารฝรั่งเศสก็เดินทางกลับออกไป หลังจากนั้นชาวต่างชาติบางคนที่เข้ามาในสยามก็บันทึกเกี่ยวกับนางฟอลคอนไว้บ้าง เช่นมองซิเออร์โชมองต์ (Chaumont) กล่าวเรื่องนางฟอลคอนซึ่งเขาได้พบที่กรุงศรีอยุธยาระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๖๒-๖๗ ไว้ว่า
 

ภาพเขียนสีน้ำรูปกองกำลังสามปิดล้อมฝั่งตะวันออกที่บางกอก เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑
 
“มาดัมคอนซตันซ์ภรรยาของมองซิเออร์คอนซตันซ์ผู้มีชื่อเสียง แลซึ่งมีชื่อเสียงดังเมื่อครั้งมองซิเออร์เดอโชมองเปนราชทูตนั้นได้มาหาข้าพเจ้า ผู้หญิงคนนี้อายุในราว ๖๕ หรือ ๖๖ ปี ได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังของพระเจ้ากรุงสยามตั้งแต่มองซิเออร์คอนซตันซ์สามีได้ถึงแก่กรรม ท่านผู้ที่แย่งชิงราชสมบัติไปได้นั้น ได้เอามาดัมคอนซตันซ์ไปอยู่ในชั้นเดียวกับพวกทาส แต่ในเมืองนี้ผู้ที่เปนทาสหาได้เปนคนต่ำช้าเสียชื่อเสียงแต่อย่างใดไม่ แต่ไทยกลับเห็นเปนชั้นผู้มีเกียรติยศ เพราะมีอำนาจที่จะทำความอยุติธรรมได้หลายพันอย่าง แต่สำหรับบุคคลที่เปนคริสเตียนอันดีเช่นมาดัมคอนซตันซ์ก็ต้องว่าเปนทาสอย่างร้ายแรงมาดัมคอนซตันซ์จะไปวัดคริสเตียนก็ได้ตามใจชอบ บางทีก็ไปนอนยังบ้านซึ่งเปนบ้านอย่างดงามในค่ายของพวกปอตุเกสแลเปนที่อยู่ของหลานด้วย ส่วนในพระราชวังนั่นมีพนักงารผู้หญิงที่ทำราชการอยู่ในวัง ได้อยู่ในความบังคับบัญชาของมาดัมคอนซตันซ์กว่า ๒๐๐๐ คน แลมาดัมคอนซตันซ์เปนผู้ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง ทั้งเปนหัวหน้าเก็บพระภูษาแลฉลองพระองค์ แลเปนผู้เก็บผลไม้ของเสวยด้วย เมื่อมาดัมคอนซตันซ์ได้รับหน้าที่เช่นนี้ก็เปนช่องทางที่จะหาผลประโยชน์ได้เปนอันมาก แต่มาดัมคอนซตันซ์เปนคนซื่อ ไม่ยอมหากำไรในสิ่งที่คนเคยรับหน้าที่นี้มาแต่เดิมๆ ได้เคยหาทุกๆ ปี มาดัมคอนซตันซ์ได้คืนเงินเข้าท้องพระคลังปีละมากๆ ซึ่งเปนเหตุทำให้พระเจ้ากรุงสยามรับสั่งว่าการที่จะหาคนซื่อตรงเช่นนี้นอกจากผู้ที่ถือสาสนาคริสเตียนเห็นจะหาไม่ได้ ซึ่งเปนการเท่ากับให้เกียรติยศแก่สาสนาคริสเตียน
 
ข้าพเจ้าได้สังเกตว่ามาดัมคอนซตันซ์คนนี้เปนคนที่ใจคอดี    แลอยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของสาสนาคริสเตียน แลเปนคนรู้นิสัยใจคอแบบธรรมเนียมแลความคดโกงของคนไทยทุกอย่าง เพราะฉนั้นเมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในที่ลำบากคราวใด ก็ได้เคยให้มาดัมคอนซตันซ์ช่วยเสมอ เพราะเห็นว่าคำแนะนำของเขาล้วนแต่ดีทั้งนั้น เวลานั้นมารดาของมาดัมคอนซตันซ์ยังอายุ ๘๐ ปีเศษ เดิรไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้ามาถึงได้สักปี ๑ มารดามาดัมคอนซตันซ์ก็ถึงแก่กรรม”
 
ส่วนหมอแกมป์เฟอร์ นายแพทย์ชาวเยอรมัน บันทึกไว้ว่า “เจ้าเด็กน้อยกับแม่คงเที่ยวขอทานเขากินมาจนทุกวันนี้ หาใครเกี่ยวข้องด้วยไม่” สันนิษฐานว่าหมอแกมป์เฟอร์อาจไม่ได้พบนาง แต่คงได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับนางและปะติดปะต่อเรื่องราวมากกว่า เพราะหลักฐานอื่นสอดคล้องกันว่านางฟอลคอนได้กลับเข้าไปรับราชการในวังหลวงอยู่ดังเดิม
 
อย่างไปก็ดี ในช่วงรัชกาลพระเพทราชาและพระเจ้าเสือ ชีวิตของนางฟอลคอนดูราบเรียบไม่ได้มีปัญหาใดๆ มากวนใจนัก มีเพียงความกังวลเรื่องทรัพย์สินที่สามีของนางหาไว้โดยการลงทุนกับบริษัทการค้าของฝรั่งเศส    จดหมายฉบับหนึ่งของนางฟอลคอน ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๒๔๙ ลงนามโดย กีมาร์ เดอ ปิน่า ที่เมืองอยุธยามีความว่า
 
“ความเมตตากรุณา คุณงามความดีและคุณลักษณะอื่นๆ ของท่านได้แซ่ซ้องไปทั่วเมืองจีนและยังได้แผ่กระจายมาถึงสัตว์โลกผู้น่าสงสารที่ทนทุกข์ทรมานในนรกดังเช่นเมื่อกาลก่อน ท่านสาธุคุณเซนต์จอห์น ข้าพเจ้าขอใช้เสรีภาพในการเขียนจดหมายถึงท่านสังฆราช และขอเรียนถามท่านสังฆราชว่าเป็นท่านที่จะเดินทางมาด้วยตนเองหรือพวกข้าพเจ้าจะต้องรอท่านอื่นๆ แทน ข้าพเจ้าเองเป็นหญิงหม้ายซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่เคารพรักเสมือนหนึ่งเป็นผู้ดูแลประชาชนในอาณาจักรแห่งนี้ ทั้งพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ต่างก็โปรดปรานข้าพเจ้า ผู้คนก็รักใคร่ข้าพเจ้าดี และนอกเหนือจากนั้น พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสและท่านพระสันตะปาปาก็นิยมในตัวข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน เนื่องจากว่าคอนสแตนติน ผู้เป็นสามีและตัวข้าพเจ้าเอง ได้อุปถัมภ์ค้ำชูเกื้อหนุนบรรดามิชชันนารี และเราเองก็ได้เอาใจใส่อำนวยความสะดวกในการจัดหาสิ่งจำเป็นมาให้ตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาทั้งหลายต่างก็ระลึกในไมตรีนี้
 

สำเนาจดหมายของนางฟอลคอน ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๗๐๖ หรือ พ.ศ. ๒๒๔๙

เก็บรักษาไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส อาจารย์ภูธร ภูมะธน ขอสำเนากลับมา
เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๗ และมอบสำเนาให้ผู้เขียนไว้ศึกษา ครั้งนี้ผู้เขียนได้แปลขึ้นใหม่อีกครั้ง 
 
หากแต่วันนี้ คนที่เคยถูกเรียกขานกันว่าเป็นมารดาของเหล่ามิชชันนารี กำลังทุกข์ยากลำเค็ญอยู่ในคุกหลวง หล่อนต้องทนเจ็บปวดทรมาน ต้องเผชิญกับอันตรายนานัปการ ทั้งหล่อนต้องอยู่ในคุกมืดอับที่แทบไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาได้เลย หล่อนไม่ได้อาศัยอยู่ในที่หรูหราอีกต่อไปแล้ว ต้องนอนกับพื้นดิน บนความอับชื้นและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมต่อสุขภาพของหล่อนสักเท่าใดนัก ด้วยเหตุดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอร้องท่านว่าขอให้ท่านอย่าได้ทอดทิ้งทาสรับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่กำลังเป็นทาสของภูตผี และขอให้ท่านช่วยบรรเทาทุกข์ต่างๆ ให้ทุเลาเบาบางลง ได้โปรดเถิดท่านสาธุคุณขอให้ท่านมาหาข้าพเจ้าเถิด อย่ารอช้าอยู่เลย ความทุกข์ของข้าพเจ้าจะกลับกลายเป็นความสุขในยามที่ท่านเดินทางมาถึง และข้าพเจ้าหวังว่าจะได้ยินเสียงของท่านร้องกู่ก้องอยู่ในหูของข้าพเจ้า เวลาหมุนผ่านไปแล้ว ฟ้าฝนผ่านพ้นไปแล้ว เมฆหมอกสลายหายไปแล้ว มาเถิดสหาย ขอท่านจงลุกขึ้นและเดินทางมาที่นี่ด้วยเถิด
 
และท่านด้วยสาธุคุณพำนักอยู่ในประเทศจีน ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องอย่างจริงใจให้ท่านแจ้งข่าวแก่ท่านผู้ปกครอง เกี่ยวกับสภาพอันน่าเวทนาที่ข้าพเจ้าต้องพบเจอ และขอร้องท่านให้เขียนจดหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเป็นคริสตศาสนิกชนที่ยิ่งใหญ่ เพื่อว่าพระองค์จะได้รับสั่งให้ผู้อำนวยการบริษัทการค้าของฝรั่งเศสจ่ายเงินคงค้างที่เป็นของสามีข้าพเจ้าคืน เพราะข้าพเจ้าและบุตรชายมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด และหากว่าเราได้เงินที่เป็นส่วนของเรานับแต่ที่สามีข้าพเจ้า คอนสแตนตินถึงแก่กรรมลงไป และเราก็เป็นผู้ที่จะต้องได้รับเงินตามกฎหมายนั้น เราก็จะสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทรมานได้  และมีความสุขกับเสรีภาพที่เราได้รับภารกิจทางศาสนาที่เราเองไม่เคยได้รับมานานมากแล้ว
 
อีกทั้งข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เขียนจดหมายถึงพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส เพื่อว่าพระองค์ผู้ทรงมีพระเมตตาธิคุณแก่บรรดาบาทหลวงเยซูอิตจะได้ทรงสั่งการผู้อำนวยการบริษัทการค้าให้จ่ายเงินแก่เรา ๑,๐๐๐ เอกูวส์ ต่อปี แต่โชคร้ายที่เราได้รับเพียงแค่ ๒ ปีเท่านั้น และยังคงขาดอีกกว่า ๖ ปี พวกเรากำลังรอคอยความเมตตาและคุณความดีของท่านด้วยความมั่นใจ และเราขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วย
ลงนาม กีมาร์ เดอ ปิน่า”
 
จดหมายฉบับนี้เขียนเป็นภาษาละติน และมีฉบับแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ ลงวันที่ชัดเจนว่าวันที่ ๒๐ มิถุนายน  ค.ศ. ๑๗๐๖  หรือ  พ.ศ. ๒๒๔๙   ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือ  (พ.ศ. ๒๒๔๖-๕๑)  เก็บรักษาไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส อาจารย์ภูธร ภูมะธน ขอสำเนากลับมาเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๗ และมอบสำเนาให้ผู้เขียนไว้ศึกษา ฉบับแปลภาษาไทยนั้น ครั้งหนึ่งพระยาสารศาสตร์ศิริลักษณ์ แปลสรุปความไว้ในหนังสือแซมเมียลไว้ต์ เจ้าท่าว่าราชการเมืองมะริศครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทั้งนี้ พระยาสารศาสตร์ศิริลักษณ์ชี้แจงว่าจดหมายจองนางฟอลคอนฉบับนี้แปลจากภาษาอังกฤษที่พิมพ์ในวารสารสยามสมาคม เล่ม ๒๘ ตอนที่ ๑ (มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๘) ครั้งนี้ผู้เขียนได้แปลขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยเทียบกับต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส
 

บ้านฟอลคอนหรือบ้านเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ ที่เมืองลพบุรี
 
ประเด็นที่ปรากฏในจดหมายนี้ มีประเด็นสำคัญ ๒ ประเด็น คือ
 
ประการแรก คือ นางฟอลคอนขอให้บรรดาสังฆราชบาทหลวงได้เห็นใจนางทดแทนกับที่นางได้เคยแสดงความเอื้ออารี และดูแลในขณะที่เหล่ามิชชันนารีปฏิบัติศาสนกิจในสยาม บ้างแสดงว่าในช่วงเวลาที่นางและสามีมีอำนาจเหนือชาวฝรั่งเศสนั้น ได้สนับสนุนกิจการของคณะมิชชันนารีเป็นอย่างมาก ข้อมูลนี้จะไปสอดคล้องกับที่บาทหลวงเดอ ลียอนน์ ไม่ต้องการคืนตัวนางให้กับฝ่ายสยาม
 
ประการที่ ๒ คือการที่นางขอเรียกร้องให้ท่านสังฆราชเขียนจดหมายไปถึงบริษัทการค้าฝรั่งเศสให้จ่ายเงินให้ครบ เพราะยังค้างจ่ายนางอีกถึง ๖ ปี ประเด็นนี้ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย อธิบายเพิ่มเติมว่าในตอนแรกนั้นบริษัทการค้าฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเรียกร้องของนาง พร้อมทั้งชี้แจงว่า “คอนซตันติน ฟอลคอน มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อความที่ได้สัญญาไว้ เงินที่สัญญาว่าจะให้นั้นก็ให้ได้แต่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้รับทรัพย์มรดกของฟอลคอนมิได้เกี่ยวในการเสียบริษัท จึงไม่ควรจะได้ประโยชน์จากบริษัท แต่ควรจะต้องใช้เงินให้แก่บริษัทจึงจะถูก” แต่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยกับคำชี้แจงของบริษัท ในที่สุดแล้วรัฐบาลฝรั่งเศสจึงออกประกาศลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๒๖๐ ให้นางฟอลคอนได้รับส่วนแบ่งในฐานะเจ้าหนี้ของบริษัทโดยจ่ายเป็นเงินเลี้ยงชีพปีละ ๓,๐๐๐ ปอนด์ฝรั่งเศส และได้ส่วนแบ่งกำไรที่หักต้นทุนออกแล้ว
 
อีก ๕ ปีต่อมา นางฟอลคอนก็จบชีวิตลงอย่างสงบที่กรุงศรีอยุธยานี้เอง เป็นอันปิดฉากหญิงแกร่งอีกคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เหลือไว้แต่บ้านอันหรูหรางดงามที่เมืองลพบุรีให้เป็นที่เล่าขานจนถึงทุกวันนี้
 
ข้อมูลจากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๘ หน้า ๘๕-๙๙