เล่าถึงการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธต่อไป ตั้งแต่เมืองบัฟฟอราถึงเมืองฮิสปาฮาม

  • Print

เขียนโดย  บาทหลวง ฌอง เดอ บูรซ์ (Jean de Bourges)

 

ฤดูกาลผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เราจะไปถึงเมืองสุหรัตได้ทัน ก่อนที่ลมจะเปลี่ยนทิศทาง หรือเป็นเพราะว่าขณะที่ทรงโอบอุ้มเราอยู่ พระเป็นเจ้าทรงทำให้เราตกลงใจไปเมืองฮิสปาฮาม    และคอยอยู่ที่นั่นจนถึงเดือนกันยายนหรือตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะในการเดินทางไปเมืองออร์มุส และจากที่นั่นเราก็สามารถลงเรือต่อไปยังสุหรัตได้ หรือเพื่อว่าถ้าเราไม่อาจพบเส้นทางไปถึงประเทศจีนโดยทางบก ดังที่เราเคยตั้งความหวังไว้ เราก็สามารถหาลู่ทางอื่นต่อไปจากเมืองนี้ได้

เพื่อให้สัมฤทธิผลตามที่ตั้งใจไว้ เราจึงออกจากเมืองบัฟฟอรา เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน มุ่งสู่บันดารีเมืองท่าแห่งหนึ่งบนอ่าวเปอร์เซียของรัฐเปอร์เซีย ซึ่งอยู่ห่างจากบัฟฟอราประมาณ ๓ ไมล์ หลังจากใช้เวลาเดินทางลงตามลุ่มแม่น้ำอย่างช้าๆ ราว ๔ วัน และผ่านพ้นทะเลมาได้อย่างสะดวกอย่างน้อยที่สุด ๒๔ ช.ม. แล้ว เราก็มาถึงบันดารี เมื่อวันที่ ๒๗ เดือนเดียวกัน ข้าพเจ้าได้สวดภาวนาเพื่อวอนขอพระเป็นเจ้าโปรดให้มีลมเย็นปะทะท้ายเรือนำเราไปสู่บันดารี การที่เราต้องขอโมทนาคุณพระองค์อยู่เสมอนั่น เป็นเพราะเราได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ คือ เรือที่เราโดยสารไปในครั้งนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ และคนนำร่องก็ไม่มีความชำนาญในการเดินเรือ ซึ่งถ้าคนที่สุขุมรอบคอบและรักชีวิตตน คงไม่ต้องการเหยียบย่างลงไปในเรือนี้เลย แต่นับแต่ตัดสินใจเดินทางมาแล้ว เราก็จำต้องละทิ้งลักษณะดังกล่าวเสีย และปล่อยให้ทุกอย่าง เป็นไปตามบุญกรรม ขณะที่มองดูบรรดาพ่อค้าจำนวนมากมายเบื้องหน้ากำลังร่วมชะตาเดียวกัน ถ้าเราต้องตั้งชื่อเรือเหล่านี้ว่าเรือโหดนั้น เป็นเพราะเรือเหล่านี้ไม่มีหลังคาเลยและสร้างขึ้นด้วยแผ่นกระดานที่แข็งพอประมาณ มัดติดกันด้วยเชือกขนาดเขื่องคุณภาพเลว ซึ่งนำมาจากเปลือกโครงเรือของอินเดีย โดยไม่มีตะปูหรือตะขอเหล็กเกี่ยวไว้เลย เชือกชนิดนี้ไม่อาจใช้มัดทั้งเรือให้ติดกันได้สนิท ฉะนั้นบรรดาช่างไม้ฝีมือดีทั้งหลายจึงใช้เศษไม้คุณภาพไม่ดีนักอุดช่องว่างที่เหลืออยู่ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ของเรือนี้มีคุณภาพคล้ายคลึงกันหมด ด้วยเหตุนี้ แม้ขณะที่มีลมพัดน้อยที่สุด เรือก็ถูกคลื่นทะเลซัดได้เต็มที่ ปกติลูกเรือเหล่านี้เป็นชาวมัวร์ ซึ่งมีนิสัยขี้อายที่สุดในโลก เวลามีพายุพวกเขาจะหวาดกลัวกันมาก และจะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ท้องเรือโดยไม่ยอมออกจากที่นั่น ขณะที่ตื่นตระหนกอย่างสุดขีดนั้น พวกเขาจะกอดกันไว้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญ เราต้องเสี่ยงกับภัยเช่นนี้อยู่เสมอ เว้นแต่ว่าจะมาถึงเมืองบัฟฟอราในเดือนกันยายนได้

ขณะเดินทางเรื่อยลงจากเมืองแบกแดดสู่บัฟฟอรา เรายังจดจำความโง่เขลาของคนนำร่องเลวๆ เหล่านี้ได้ ตอนที่อากาศดีพวกเขาจะปล่อยเรือให้แล่นไปตามกระแสลมหรือกระแสน้ำโดยไม่ถือหางเสือเรือ ฉะนั้นใครก็ตามที่ลงเรือลำนี้ต้องคิดแล้วว่าตนกำลังโถมตัวเข้าหาความปรานีของกระแสคลื่น หรือพูดได้ว่าได้ปล่อยตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของพระเป็นเจ้าแล้ว ซึ่งพระองค์มิได้ทรงนับว่าลูกคลื่นทะเลมีน้อยกว่าเมล็ดทรายบนชายฝั่งหรือไม่ โอกาสนี้เองที่เราอาจพูดได้ว่า ชีวิตมิได้ยึดติดกับอะไร นอกจากร่างแหเท่านั้น และมันก็อยู่ห่างความตายแค่คืบ มีสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งคือ คนเหล่านี้กำลังเล่นกับชีวิตในเรื่องที่ไม่น่าวางไว้วางใจ อย่างค่อนข้างโง่เขลาและผลีผลาม ผลจากความไม่มั่นคงแน่นอนนี้เองที่ทำให้เกิดเรืออัปปางบ่อยครั้ง

หลังจากพักอยู่ที่เมืองบันดารีเป็นเวลา ๓-๔ วัน เราก็เดินทางมุ่งสู่เมืองซีราสโดยใช้เส้นทางเกวียน เรามักเดินทางในตอนกลางคืนโดยไม่หยุดพัก และจะพักผ่อนในตอนกลางวัน ดังนั้น เราจึงต้องทำกลางวันให้เป็นกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกอย่างมากสำหรับผู้ที่ไม่เคยชิน เพราะเราจะไม่สามารถนอนหลับได้สนิทในตอนกลางวัน เนื่องจากอากาศร้อนจัด ส่วนตอนกลางคืนเราก็ต้องต่อสู้กับความง่วงอย่างทรมาน

หลังจากเดินเท้ามา ๕ วันหรือพูดว่า ๕ คืนจะเหมาะกว่า เราก็มาถึงคลาเซรอน เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของเปอร์เซีย ซึ่งดูเหมือนว่าเคยเป็นเมืองใหญ่มากในอดีต และเมื่อก่อนมีชื่อว่า เซซาเร ตลอดการเดินทาง เราต้องขึ้นแต่ภูเขาสูงและชันน่ากลัว เส้นทางบางแห่งแคบมากจนกระทั่งเราจะสามารถผ่านไปได้เพียง ๒-๓ คนเท่านั้น เพราะด้านหนึ่งเป็นโขดหินชัน อีกด้านหนึ่งเป็นเหวลึกที่ดูเหมือนว่าลึกลงไปถึงใจกลางโลก จนทำให้ไม่กล้ามองดู เราเห็นนักเดินทางผู้น่าสงสารเหล่านี้ก้าวเดินเลียบไปข้างๆ โขดหินอย่างระมัดระวัง จนแทบจะเอาตัวติดแนบไปกับโขดหินนั้นเลยด้วย     เกรงว่าจะตกลงไปในหุบเขาลึก ตลอดระยะการเดินเท้านั้นเกือบเรียกได้ว่าเป็นการเดินขึ้นโดยตลอด ในหนังสือพระคัมภีร์เก่าที่เรียกว่ามากาเบ่ส์ เขียนไว้ว่าแถบนี้เป็นดินแดนที่สูง ซึ่งจักรพรรดิออกติโยกุส เดินผ่านมาหลังจากที่ผ่านแม่น้ำยูเฟรติสเพื่อเข้าไปในเปอร์เซีย เราต้องทนทรมานมากับการเดินเท้าครั้งนี้ เนื่องจากไม่พบแม้แต่บ้านเรือนหรือเครื่องดื่มที่จะทำให้เรามีชีวิตชีวาขึ้น นอกจากต้องต่อสู้กับความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ตอนกลางวัน แล้วยังต้องพบกับความอบอ้าวของภูเขาที่เพิ่มทวีขึ้นอย่างรุนแรงอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ในตอนกลางคืนทุกคนจึงเหนื่อยล้ามาก คล้ายกับว่าเราได้ต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดมาแล้ว แม้ว่าความง่วงจะเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่เราไม่สามารถขัดขืนได้ แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ไม่อาจปล่อยตัวให้นอนกลับได้ ดังนั้น ทุกคนจึงมีสภาพคล้ายคนหลับที่ยังตื่นอยู่

อากาศที่คาลเซรอนอบอุ่นกว่าที่บัฟฟอราและบันดารีเล็กน้อย เรามาถึงคาลเซรอนอย่างเต็มไปด้วยความสดใส และเริ่มหายใจสะดวกขึ้น แม้จะยังรู้สึกหวาดกลัวการฟันฝ่าภยันตรายต่างๆ และพวกขโมยในรัฐตุรกีก็ตามชาวยุโรปที่ผ่านมาเข้ามาในนามของประเทศฝรั่งเศสจะอยู่ในรัฐเปอร์เซียโดยสวัสดิภาพและมีอิสระเต็มที่

ที่เมืองนี้เราได้เห็นการถือศีลอดของชาวมุสลิมซึ่งเรียกว่ารอมฎอนหรือรอมสัน รอมฎอน    จะเริ่มตั้งแต่พระจันทร์เต็มดวงครั้งหนึ่ง จนถึงพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งหนึ่งคือ กินระยะเวลา ๑ เดือน ตามบทบัญญัติของคัมภีร์กุรอ่าน ทุกคนต้องละเว้นจากการดื่มและการกินอาหารตลอดช่วงกลางวัน บางคนที่เลื่อมใสศรัทธาและเคร่งครัดมากที่สุด เนื่องจากเกรงกลัวบาปหรือเชื่อโชคลางมากจะคลุมหน้าด้วยผ้าลินินบางๆ ด้วยกลัวว่าขณะหายใจจะสูดเอาแมลงวันตัวเล็กๆ หรือละอองฝนเข้าไป ส่วนคนอื่นๆ ที่ยังเคร่งกว่านี้และพิถีพิถันกับบทบัญญัติข้อนี้มากจะไม่กล้าแม้แต่กลืนน้ำลาย และจะปฏิบัติเช่นนี้ตั้งแต่เริ่มต้นการถือศีลอด บรรดาอิหม่ามได้กำหนดไว้ในคำอธิบายบทบัญญัตินี้ว่า การถือศีลอดนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อมีแสงสว่างเพียงพอที่เราสามารถแยกสีสันของเส้นด้ายในที่โล่งแจ้งได้ และสิ้นสุดเมื่อตาของเราไม่อาจแยกสีสันของเส้นด้ายได้ ถ้าชาวมุสลิมละเว้นการกินอาหารอย่างโง่เขลาได้ตลอดทั้งวันนั้น เป็นเพราะในตอนกลางคืนพวกเขาสามารถกินชดเชยได้ นอกจากนี้ยังได้รับอนุญาตให้จ่ายเงินมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ และหรูหรายิ่งกว่างานใดได้ตลอดทั้งคืน พระคัมภีร์กุรอ่านแนะไว้ว่า ในช่วงการถือศีลอดทุกคนต้องให้ผู้ที่เดือดร้อนเรื่องเงินขอยืมเงินได้อย่างกว้างขวาง ยิ่งกว่านั้นยังอาจใช้จ่ายเงินเพื่อการกินดีอยู่ดีได้ จนกระทั่งเราสังเกตได้ว่าการจัดงานเลี้ยงในตอนกลางคืน เป็นส่วนหนึ่งของการอดอาหารที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับการถือศีลอดในตอนกลางวันด้วย เราจะได้ยินเสียงนักร้อง กลอง แทรมเป็ต ขลุ่ย และเครื่องดนตรีอื่นๆ เพื่อจะทำให้เวลานั้นผ่านไปอย่างมีความสุข

การปฏิบัติศาสนกิจอย่างบ้าคลั่งเกินขนาด ซึ่งกินเวลาจนถึงเช้าตรู่ของอีกวันหนึ่งนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกง่วงในตอนกลางวัน แต่ถ้าเกรงว่าอาหารมื้อใหญ่นั้นไม่เพียงพอกับการต้องถือศีลอดในตอนกลางวันแล้ว พวกเขาจะหันไปพึ่งฝิ่นเพื่อทำให้เคลิบเคลิ้มได้ตลอดทั้งวัน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงเคร่งครัดกับการถือศีลอด แต่มีอุปสรรคอย่างหนึ่ง คือในแต่ละปี ๑๐ วันของรอมฏอนจะตกอยู่ในช่วงฤดูร้อนซึ่งมีกลางวันยาวและความร้อนจะทำให้ผู้ที่อดอาหารแทบทนไม่ไหว อันที่จริงแล้วทุกคนมิได้เกรงกลัวต่อบาปมากนัก อีกทั้งไม่เชื่อว่าการกินอาหารโดยไม่ให้ผู้อื่นเห็นจะขัดต่อการถือศีลอด แต่ผู้ที่ต้องการอดอาหารอย่างแน่วแน่ตามบทบัญญัติอันเคร่งครัดก็จำต้องทรมานในช่วงฤดูร้อน เราจะสังเกตเห็นความไม่ยุติธรรมของศาสนานี้ซึ่งทำให้ศาสนิกชนมุสลิมมีการยึดถือสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง โดยไม่มีการชี้แนะทางสายกลางใดๆ ให้เลย กล่าวคือในตอนกลางคืนพวกเขามีชีวิตอยู่กับการกิน การดื่มที่มากเกินควรและไม่ปฏิเสธความปรารถนาทางร่ายกายใดๆ  ส่วนในตอนกลางวันพวกเขากลับต้องไปมีชีวิตอยู่กับความโง่อย่างที่สุดและเกียจคร้าน การอดอาหารครั้งนี้ดูเป็นการจัดระเบียบให้กับความตะกละมากกว่า จะเป็นการทรมานกายเพื่อคุณธรรม หรือเพื่อฝึกควบคุมอารมณ์ให้พอเหมาะ ระหว่างการถือศีลอดนี้แทบจะไม่มีใครตั้งใจทำงาน เพราะพวกช่างฝีมือก็แสวงหาแหล่งที่ขอยืมเงินได้โดยง่าย ดังนั้น การปฏิบัติศาสนกิจเช่นนี้ก่อให้เกิดผลร้ายแรงที่น่าตำหนิ ๒ ประการคือ ประการแรกความเกียจคร้าน และประการที่สองการกินการดื่มมากเกินไปซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงหลายอย่าง และคนบาปก็ทวีมากขึ้น เราไม่อาจพูดได้ว่าพระเป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดการถือศีลอดขึ้น เพราะสิ่งนี้มิได้มีจุดมุ่งหมายแห่งคุณธรรม ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเดียวของศาสนาที่แท้จริง จากการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวที่ดูเหมือนว่าเป็นคุณธรรมขั้นสูงสุดของศาสนาอิสลาม เราก็สามารถตัดสินได้ว่าสิ่งใดเป็นการหลงผิดและสิ่งใดเป็นการปฏิบัติที่นอกเหนือของบุคคลที่ดำเนินรอยตามศาสนาของตน

วันที่ ๑๐ พฤษภาคม เราออกเดินทางจากเมืองคาลเซรอนและมุ่งสู่เมืองซีราส เรามาถึงเมือง   ซีราส เมื่อตอนเที่ยงคืนของวันที่ ๑๔ เดือนเดียวกัน ชีราสหรือซีราสเป็นหนึ่งในบรรดาเมืองที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรเปอร์เซียตั้งอยู่ที่ละติจูด ๓๐ บนลุ่มแม่น้ำเบนดิมีร์ ใกล้เชิงเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นเขตเริ่มต้นของชนบทที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง มีอาณาเขตกว้างประมาณ ๑๐ ลิเยอและเป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์มาก เชื่อกันว่าเป็นแหล่งที่มีผลไม้สวยที่สุดในโลก และมีจำนวนมากเท่ากับที่เรามีอยู่ในยุโรป เมืองซีราสมีขนาดใหญ่กว่าเมืองออร์เลออง และมีสวนที่สวยงามอยู่มากมาย แต่ละบ้านจะมีสวนเป็นของตนเองซึ่งทำให้เมืองดูกว้างขวางและน่าอยู่มากขึ้น แต่ประชากรไม่หนาแน่นนัก  สวนเหล่านี้มีลักษณะคล้ายสวนของเรา แต่สิ่งที่แปลกไปคือ ตามทางเดินจะมีการปลูกต้นสนสูงใหญ่ไว้ นอกจากนี้ ก็มีอ่างน้ำพุสวยงามมากมาย ซึ่งน้ำในอ่างเหล่านี้ถูกนำมาจากคูคลองที่แต่ละบ้านเก็บกักไว้ใช้อาบ ตึกที่ใหญ่โตที่สุดของเมืองนี้คือ สุเหร่าและวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งมองจากภายนอกดูสวยงามมาก เพราะกำแพงตึกและหอคอยเล็กที่ใช้เป็นหอระฆังของสุเหร่าถูกตกแต่งด้วยอิฐขัดเงา แบบและสีต่างๆ  กันไว้โดยรอบ ซึ่งทำให้ดูสุกสว่างคล้ายเครื่องปั้นดินเผาที่สวยที่สุดของเรา   พวกเขาจะเรียงอิฐเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระเบียบ ดึงดูดสายตาได้ดีมาก นอกจากนี้ ยังมีการจารึกตัวอักษรเรียงไว้บนก้อนอิฐ และนำไปตกแต่งไว้ที่หน้าจั่วของสุเหร่าและวิทยาลัยต่างๆ ด้วย

เราสนใจที่จะดูวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นอย่างเป็นระเบียบมาก มีห้องใหญ่ที่สุดอยู่สี่ห้อง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ละห้องแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ มากมายไว้สำหรับนักศึกษาที่วิทยาลัยแห่งนี้จัดสอนศาสตร์ต่างๆ ที่ดีที่สุดทั้งหมดให้ นักศึกษาต่างก็มีความกระตือรือล้นในการเรียนรู้ภาษาเปอร์เซียแท้ นอกจากนี้มีการสอนภาษาอาหรับด้วยเพื่อให้นักศึกษาสามารถอ่านคัมภีร์  กุรอ่านต้นฉบับเดิมได้ สรุปได้ว่าศาสตร์ทุกศาสตร์เป็นที่ยกย่องในดินแดนแห่งนี้ และเราอาจพูดได้เช่นกันว่าที่นั่นเป็นแหล่งกำเนิดของความคิดที่ดีที่สุดแห่งจักรวาล มีผู้ยอมรับว่านักศึกษาของวิทยาลัยแห่งนี้เรียนรู้เร็ว ร่าเริง และมีความสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ พวกเขามีแนวโน้มพิเศษชอบไปในทางกวีนิพนธ์และคณิตศาสตร์

ในเมืองซีราสเราพักอยู่ที่บ้านของนักบวชคณะการ์แมส เดโกสเซ่ บาทหลวงอธิการให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดีเป็นชาวฝรั่งเศสที่มาจากสังฆมณฑลแห่งลิมอช จากการพบปะสนทนากับบรรดาบาทหลวงระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น เราได้เรียนรู้สิ่งที่เราเคยรู้มาแล้วในประเทศตุรกีคือ ที่นี่เราจะทำการเผยแพร่พระศาสนาให้กับคนที่เชื่อในคัมภีร์กุรอ่านไม่ได้เลย หรือทำได้ก็น้อยมาก เนื่องจากพวกนี้มีความเชื่ออย่างแน่วแน่เกินกว่าจะหันมาสนใจศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ของเราได้ มิใช่ว่าคณะมิชชันนารีจะไม่มีประโยชน์อันใดในที่นั่น เพียงแต่เราคอยเวลาที่พระเป็นเจ้าจะทรงพอพระทัยส่องแสงสว่างให้กับพวกนอกศาสนาที่น่าสงสารเหล่านี้ ในเมืองชีราสแห่งนี้มีครอบครัวคาทอลิกบางครอบครัวได้ร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ขึ้นแห่งหนึ่งและปฏิบัติตนเป็นคาทอลิกที่ดี อยู่ท่ามกลางคนนอกศาสนาเหล่านั้น เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเยี่ยมพวกเขาในครั้งนี้ นอกจากความช่วยเหลือที่บรรดาบาทหลวงให้แก่ชนกลุ่มน้อยคาทอลิกเหล่านี้แล้ว พวกท่านยังให้ความช่วยเหลือในด้านวิญญาณแก่ชาวคริสต์จากยุโรปทุกคนที่เดินทางผ่านมาเพื่อทำการค้าที่เมืองออร์มุสด้วย บาทหลวงเหล่านี้เป็นผู้ที่แสดงความศรัทธาได้อย่างอิสระเท่าที่พึงกระทำได้ในประเทศที่เป็นคริสต์ แต่ตามความเห็นเป็นเอกฉันท์ของคณะมิชชันนารี ที่อยู่ในประเทศนี้มานานประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่สามารถกระทำได้ก็คือ ในส่วนที่เกี่ยวกับชาวคริสต์ที่แยกไปถือนิกายอื่น และกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในประเทศตุรกีและประเทศเปอร์เซีย โดยเฉพาะเรารับทราบว่า การประชุมระหว่างประมุขของนิกายเนสเตอเรียและพระศาสนจักรคาทอลิกเกือบแน่นอนแล้ว ประมุขของนิกายเนสเตอร์เรียงอาศัยอยู่ห่างจากเมืองโตรีส โดยใช้เวลาเดินทาง ๕-๖ วันคือ ห่างจากเมืองฮิสปาฮามใช้เวลาเดินทาง ๑ เดือน เพื่อให้ภารกิจยิ่งใหญ่นี้รุดหน้าต่อไปจึงจำเป็นต้องส่งบาทหลวงมาเพียง ๒ หรือ ๓ คนเท่านั้น

ทั้งหมดนี้นับเป็นเกียรติแห่งคริสต์ศาสนจักร ที่ได้สนับสนุนคณะมิสซังที่อยู่ไกลเหล่านี้ เพราะแม้คณะมิสซังต่างๆ จะมิได้สัมฤทธิ์ผลในการเผยแพร่พระวรสารอย่างรวดเร็วตามที่หวังไว้ อย่างไรก็ตามเราก็มองเห็นมิสซังจำนวนน้อยมากที่สามาระช่วยวิญญาณของคนนอกศาสนาได้เมื่อเรายอมรับที่จะสนับสนุนบรรดามิชชันนารีเหล่านี้ จะเห็นว่าคณะมิชชันนารีมิได้ย่อท้อต่อความยากลำบาก และชาวคาทอลิกจากยุโรปเองก็มิได้ละเลยที่จะให้ความช่วยเหลือเช่นกัน ในพระศาสนจักรนั้นไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่หรือมีศักดิ์ศรี มากไปกว่าความเพียรพยายามที่จะนำศรัทธาไปสู่หมู่ชนนอกศาสนา และขยายอาณาจักรของพระเป็นเจ้าให้กว้างไกลออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่ถูกต้องไปกว่าการทำงานเพื่อก่อตั้งพระศาสนจักรในดินแดนทุกหนทุกแห่งของเอเชีย ที่ซึ่งพระศาสนานี้เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต

ก่อนออกเดินทางจากเมืองซีราสในตอนเที่ยงคืน เราได้เห็นชาวมุสลิมจัดงานรื่นเริงฉลองการสิ้นสุดการปฏิบัติศาสนกิจแห่งเดือนรอมฏอนหรือการถือศีลอด มีการแสดงออกซึ่งความยินดีที่อาจคิดขึ้นเองได้ทุกชนิด เราได้เห็นแต่เพียงการเต้นระบำ และได้ยินเสียงดนตรีดังสนั่นจากทุกสารทิศ เรารู้สึกประหลาดใจแกมพอใจที่ได้เห็นเชิงเทียนจำนวนมากมายที่พวกโมล่าห์หรือนักบวชชาวมุสลิมจุดไว้บนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ซึ่งมีเมืองๆ หนึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขา พวกนี้อาศัยอยู่ในบ้านลักษณะเป็นจอมปลวกที่สร้างอยู่บนภูเขา เชิงเทียนที่จุดขึ้นนี้ช่วยเพิ่มความสนุกสนานของฝูงชนได้มากขึ้น และเป็นการยืนยันว่าการถือศีลอดได้สิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนี้สิ่งที่แสดงให้พวกเขาแน่ใจยิ่งขึ้น คือ การที่ได้สังเกตเห็นพระจันทร์ดวงใหม่บนท้องฟ้า เพราะรอมฏอนกินเวลาตั้งแต่เริ่มเห็นพระจันทร์ข้างขึ้นเดือนเก่า จนกระทั่งเห็นพระจันทร์ข้างขึ้นเดือนใหม่

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม  เราเดินเท้าออกจากเมืองชีราสต่อไปในตอนกลางคืน และมาถึงเมืองฮิสปาฮามเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ขณะคอยพรพระสังฆราชแห่งเบริธรับจดหมายจากท่านอธิการคณะออกุสตีนโปรตุเกส เพื่อขออนุญาตเข้าพักในบ้านของพระคุณเจ้าพระสังฆราชแห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสังฆมณฑลแห่งบาบิโลน เราก็แวะลงที่คาราวานส์ซึ่งเป็นที่พักแรมสาธารณะสำหรับคนที่สัญจรไปมา ท่านสังฆราชแห่งบาบิโลนเป็นผู้มีความเมตตากรุณาและสุภาพอ่อนโยน ช่วง ๕ และ ๖ วันแรกของเราผ่านไปกับการต้อนรับ และการเยี่ยมเยียนนักบวชและชาวฝรั่งเศสที่คุ้นเคยกับเมืองฮิสปาฮาม รวมทั้งนายตำรวจอังกฤษและผู้ที่ทำธุรกิจให้กับบริษัทอินเดีย (กองปาญีแห่งหมู่เกาะอินเดีย) ของฮอลันดาด้วย คนทั้งหมดนี้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างหรูหราและฟุ่มเฟื่อยและต้องการให้ประเทศชาติและการค้าของตนรุ่งเรืองขึ้น หลังจากกระทำหน้าที่ได้เรียบร้อยแล้วเราก็ต้องการเข้าเงียบเท่าที่จะสามารถทำได้ ต่อเมื่อเราได้พักผ่อนและมีเวลาดูแลตนเองบ้างแล้ว ความตั้งใจแรกของเราคือ หาวิธีที่จะเดินทางต่อไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ความตั้งใจครั้งนี้สัมฤทธิผล เราจึงได้หารือกับผู้ที่อาวุโสที่สุด และผู้ที่มีประสบการณ์ในการเดินทางมากที่สุด ซึ่งพวกเขาต่างเห็นด้วยทุกประการว่า เส้นทางทางบกจากที่นี่ไปถึงประเทศจีนยากลำบากมาก อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้ ความปรารถนาสูงสุดของเราคือ ไปที่มิสซังของเราเพื่อขอให้เป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางบกของเราในครั้งนี้โดยผ่านทางการเมืองกานดาฮาร์ อักรา ปาห์นา นีปาล บูตาน ก่อนอื่นมีการชี้ให้เราเห็นอุปสรรคสำคัญๆ ก่อน อย่างไรก็ตามเราก็เชื่อว่าเราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นได้ด้วยพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เราคิดว่าเราดีใจที่เป็นมิชชันนารีชุดแรกที่ได้อุทิศตนเพื่อบุกเบิกเส้นทางใหม่ให้กับการประกาศพระศาสนา เมื่อเราพร้อมที่จะออกเดินทางประมาณ ๑ เดือนหลังจากที่เรามาถึง เราก็เข้าใจแล้วว่าพระเป็นเจ้าพอพระทัยกับความตั้งใจดีของเรา แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางในช่วงเวลานั้น เพราะเราได้พบกับการรุกรานที่ไม่ได้คาดหมายของชาวตาตาร์จำนวน ๓๐๐๐ คน ซึ่งเดินทางจากแคว้นยุตเบคเข้าไปในอาณาจักรเปอร์เซีย และครอบครัวดินแดนที่เราจำต้องเดินทางผ่านไป ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องบันทึกสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเส้นทางสายนี้ซึ่งมุ่งสู่ประเทศจีนไว้ ณ ที่นี้ บรรดาสิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีอันตรายก็คือ ความไม่สะดวกสบายทั่วๆไปเช่น หาที่พักไม่ได้เลย มีหมู่บ้านอยู่น้อย ไม่มีการสื่อสารเลย การเสี่ยงภัยกับพวกลักขโมย การเดินทางผ่านทะเลทรายและการขาดอาหาร แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ การเดินทางผ่านเทือกเขาสูงๆ ซึ่งเราไม่อาจบรรทุกเอาของหนักใดๆ ไปได้เลย แม้แต่ของที่มีน้ำหนักเบาก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกวางไว้บนหลังแพะตัวใหญ่ด้วยความยากลำบาก แพะเป็นเสบียงที่แน่นอนที่สุดสำหรับนักเดินทาง มันจะอาศัยอยู่บนเทือกเขาที่สูงชันและยากที่สัตว์ชนิดอื่นจะปีนขึ้นไปได้ อย่างไรก็ตามเราก็พบคนที่พร้อมที่จะช่วยเหลือเรา พวกเขาอาศัยอยู่ที่เชิงเขาและหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างแบกนักเดินทาง โดยให้นั่งอยู่บนพรมที่พาดไว้บนไหล่พวกเขาจะบอกให้เราเกาะอยู่บนพรมให้แน่น โดยเก็บความอยากรู้อยากเห็นที่จะมองดูเส้นทาง หรือสถานที่ที่ผ่านไปไว้ก่อน เพราะมีอันตรายและน่าหวาดเสียวมากเกินกว่าที่จะดูได้ เพราะการมองดูนั้นสามารถทำให้ผู้ที่กล้าหาญที่สุดตกใจกลัวได้ และเกิดความสับสนหรือกระวนกระวายใจ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ผู้แบก    ก้าวพลาดและตกลงไปในหุบเขาลึกอันน่าสะพรึงกลัวได้

เมื่อทราบถึงเหตุสุดวิสัยในการเดินทางครั้งนี้ อันเนื่องมาจากการรุกรานของพวกตาตาร์ เราก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของบรรดาเพื่อนของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวฝรั่งเศส ๒-๓ คนซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากตอนปลายสุดของหมู่เกาะอินเดีย และเป็นผู้ที่นำแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ไปสู่ประเทศต่างๆ ที่เราต้องผ่านไป เราตกลงใจไปกับนายตำรวจอังกฤษผู้ซึ่งต้องการออกเดินทางไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่เมืองโคโมรอนในเดือนกันยายน และจากที่นั่นเราก็จะเดินทางต่อไปยังเมืองสุหรัตได้ การร่วมเดินทางมากับนายตำรวจผู้นี้นับว่าเป็นโอกาสเหมาะสำหรับเราอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนซื่อสัตย์และสุภาพกับชาวฝรั่งเศสมาก ตามเส้นทางต่างๆ เราไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางใดๆ เลยแม้แต่ค่าด่านขนอนที่เมืองโคโมรอน ซึ่งปกติจะต้องจ่าย 10% นอกจากนี้ด่านนี้ยังจัดลำเลียงสินค้าของเราลงเรืออังกฤษเพื่อไปเมืองสุหรัตได้อย่างสะดวกสบายด้วย.

 

จากหนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปกรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓o