เรื่องศาสนาของประเทศสยาม

                    เขียนโดย ... บาทหลวง ฌอง เดอ บูรช์ (Jean de Bourges)

ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลกที่มีศาสนาอยู่มากมาย   และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตนได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม พวกนอกศาสนา ชาวคริสต์  หรือชาวมุสลิมซึ่งล้วนแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่างๆ มีเสรีภาพในการประกอบพิธีทางศาสนาที่ตนเห็นว่าดีที่สุดมีชาวโปรตุเกส  อังกฤษ  ฮอลแลนด์ จีน  ญี่ปุ่น  มอญ  เขมร  มลายู  โคจินจีน  จำปา  และชนชาติอื่นๆ  ทางเหนือเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสยามมากมาย  ในจำนวนนี้มีชาวคาทอลิกอยู่เกือบ ๒,๐๐๐ คน ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่ที่ถูกขับไล่มาจากที่ต่างๆ ของอินเดียได้อพยพเข้ามาข้อลี้ภัยอยู่ในสยามโดยสร้างบ้านเรือนอยู่แยกออกไปกลายเป็นชานเมือง พวกเขามีโบสถ์กลาง ๒ แห่ง โบสถ์หนึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบาทหลวงคณะเยซูอิต และอีกโบสถ์หนึ่งของบาทหลวงคณะเซนต์โดมินิก ชาวโปรตุเกสมีเสรีภาพทางศาสนามากเท่าที่ยังมีที่เมืองกัว คือสามารถประกอบพิธีทางศาสนา เทศน์หรือสวดมนต์ได้ โดยที่พวกนอกศาสนาไม่กล้าขัดขวาง  ปรากฏว่ามีชายผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยฉลาดนัก ได้หัวเราะเยาะชาวคริสต์ที่กำลังเข้าร่วมในพิธีหนึ่งอยู่ ชาวโปรตุเกสผู้ศรัทธาในพระเจ้ามากคนหนึ่งรู้สึกโกรธ จึงเข้าต่อยชายผู้นั้น ต่อมาชายผู้นั้นได้ร้องทุกข์ต่อพระราชสำนักว่าชาวโปรตุเกสคนนี้อวดดี โดยเชื่อว่าในฐานะตนเป็นพสกนิกรของพระมหากษัตริย์ รัฐจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ แต่เขาก็ไม่ได้รับการสนองตอบแต่อย่างใด นอกจากจะได้เรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิตอยู่ และการไม่บังควร  ก่อความยุ่งยากให้กับผู้กำลังปฏิบัติกิจทางศาสนาอีก

บางครั้งข้าพเจ้าเคยสอบถามว่าทำไมพระเจ้าแผ่นดินสยาม ทรงมีพระทัยโอบอ้อม อนุญาตให้มีศาสนามากมายอยู่ในอาณาจักรและเมืองหลวง  เนื่องจากนโยบายการปกครองที่เป็นที่ยอมรับกันมานานคือ จะต้องมีศาสนาเดียวเพราะเมื่อมีความศรัทธาหลายประเภทและมีมากขึ้นทุกที จะทำให้เกิดความขัดแย้ง และปัญหามากมายอันจะนำไปสู่ความไม่สงบสุขภายในประเทศได้

ข้าพเจ้าได้รับคำตอบว่า พระองค์ทรงดำเนินนโยบายการเมืองอีกแบบหนึ่ง กล่าวคือเนื่องจากทรงเล็งเห็นผลประโยชน์ใหญ่ยิ่ง จากที่ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักอยู่ในแผ่นดินของพระองค์โดยเพื่องานศิลป เพื่อค้าขาย หรือเพื่อนำสินค้าเข้า พระองค์จึงทรงเชื้อเชิญให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้า โดยพระราชทานเสรีภาพให้เท่าเทียมกันทุกคน เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ ความคิดของชาวสยามที่ว่าทุกศาสนาดี  ดังนั้น  พวกเขาจึงไม่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอื่นใด หากศาสนานั้นๆ  สามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายในกฎหมายของรัฐ

ดังนั้นชาวสยามจึงพูดว่า ท้องฟ้าเปรียบเสมือนพระมหาราชวังอันมีทางหลายสายที่ไปถึงได้ สายหนึ่งสั้นกว่า สายหนึ่งมีผู้คนสัญจรมากกว่า อีกสายหนึ่งวิบากกว่า แต่ในที่สุดทุกสายก็นำมาถึงพระมหาราชวังด้วยความสุขล้นเปี่ยมที่มนุษย์ทุกคนใฝ่หา แต่สิ่งหนึ่งคือยากเกินไปที่จะกำหนดได้ว่าทางสายใดดีที่สุด เนื่องจากมีศาสนาอยู่มากมาย ดังนั้น การจะพิจารณาดูทุกๆ ศาสนานั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาก และเราต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตก่อนจะตัดสินเลือกศาสนาที่ถูกต้องได้  โดยเหตุที่เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าอยู่หลายองค์ ชาวสยามจึงกะเกณฑ์ให้มีลัทธิบูชาแตกต่างกันและวิธีปฏิบัติมากหลายแบบ

ผู้ที่ได้สังเกตท่าทีของชาวสยามที่มีต่อศาสนาอย่างใกล้ชิดกว่าว่าความเฉื่อยชาในเรื่องนี้เป็นข้อคิดหนึ่งที่นักสอนศาสนายอมรับและเห็นพ้องด้วยมากที่สุด อุปนิสัยที่อ่อนโยน  การติดต่อคบค้ากับชาวต่างชาติ และการถูกบังคับให้ต้องแสดงท่าทีโอนอ่อนเพื่อผลทางการเมือง ทำให้ชาวสยามเป็นเช่นนี้ เพราะในเมื่อไม่หวังที่จะพบสัจธรรมพวกเขาก็ไม่กังวลใจใดๆ ในการค้นหา ความเฉื่อยชานี้เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการทำให้ชาวสยามเปลี่ยนศาสนา ขณะที่สารภาพว่าศาสนาคริสต์ดีพวกเขาไม่พูดจาคัดค้านใดๆ เมื่อคณะสอนศาสนาเสนอศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์และอิบายเหตุผลพิสูจน์สัจธรรมนั้น เพียงแต่คิดว่าการปฏิเสธศาสนาอื่นนั้นเป็นการกระทำที่ผลีผลามเกินไป เพราะทุกศาสนาล้วนมีจุดมุ่งหมายเคารพนับถือบรรดาเทพเจ้า ดังนั้น จำต้องเชื่อว่าชาวสยามพอใจในศาสนาของตน นั่นคือการหาเหตุผลของชาวสยาม พวกเขางมงายในเรื่องนี้อันเนื่องมาจากความเฉื่อยชาที่เกิดจากการไม่รู้ว่าพระเป็นเจ้ามีอยู่เพียงองค์เดียว ซึ่งเราไม่อาจแสดงความเคารพได้ด้วยลัทธิบูชาที่แตกต่างกัน

ชาวสยามไม่ใส่ใจศึกษาด้วยตนเอง ความเฉื่อยชานี้เป็นผลให้พวกเขาเฉื่อยชากับทุกสิ่งแม้สิ่งที่คิดว่าเชื่อ แต่ก็ดูเหมือนไม่มั่นใจมากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถอธิบายได้ว่าแก่นแท้ของศาสนาที่ตนเชื่อถือนั้นคืออะไร แม้พระสงฆ์เองก็เพียงแต่พูดถึงศาสนาด้วยความไม่แน่ใจและมักผลักไสให้ท่านไปอ่านหนังสือมากกว่าจะให้คำตอบด้วยตัวเอง

ชาวสยามบูชารูปเคารพและรูปเคารพนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะแปลกๆ  พอๆ  กับความใหญ่โต  ท่านจะพบรูปเคารพบนโต๊ะบูชาถึง ๕๐ หรือ ๖๐ องค์มีความสูงมากกว่า ๔๐ ปิเยด์ ทำด้วยอิฐและหิน หุ้มภายนอกด้วยทอง ในกุฏิพระสงฆ์จะมีระเบียงวางรูปเคารพอยู่ ๓๐๐-๔๐๐ องค์  ขนาดและลักษณะแตกต่างกันทุกองค์หุ้มทองและดูสง่างามมาก

ชาวสยามสร้างโบสถ์อย่างวิจิตรงดงามไว้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพเหล่านี้พูดได้ว่าพวกเขามีความสันทัดและจัดเจนก็เพียงแต่ผลงานด้านนี้เท่านั้น ยิ่งสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตให้อยู่ในระดับปานกลางมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีเงินมากพอที่จะจัดสร้างโบสถ์ประดิษฐานรูปเคารพได้อย่างตระการตามมากเท่านั้น สิ่งก่อสร้างนี้มักแข็งแรงและมีลักษณะใกล้เคียงกับโบสถ์ของเรา มีประตูทางเข้าหุ้มทองภายในทาสี แสงสว่างลอดเข้าได้ทางหน้าต่างแคบและยาวที่เจาะฝังอยู่ในผนังโบสถ์มืดครึ้มทั้งวัน ด้านในสุดของโบสถ์ซึ่งอยู่ไกลสุดจากประตูเข้าจะเป็นที่ตั้งแท่นบูชาซึ่งยกขึ้นสูงเป็นลำดับหลายชั้นคล้ายอัฒจันทร์สำหรับวางรูปเคารพต่างๆ ใกล้กับโบสถ์มีกุฏิ (ที่พัก) ของบรรดาพระสงฆ์ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าได้พำนักอยู่ในเคหสถานที่ดีที่สุดของประเทศ มีห้องนอน และห้องเล็กๆ เพื่อใช้อยู่รวมกัน นอกจากนี้ก็มีระเบียงซึ่งโดยรอบมีรูปปั้นเหมือนวางเรียงรายอยู่ ระหว่างระเบียงมีเจดีย์รูปปิรามิดขนาดสูงมากก่ออิฐอย่างดีหุ้มทองอร่าม ซึ่งแม้แต่สภาวะอากาศต่างๆ ก็ไม่อาจทำให้ความพร่างพราวขององค์เจดีย์นี้ลดน้อยลงได้ ชาวสยามนิยมบรรจุเถ้ากระดูกของขุนนางสำคัญๆ ไว้ในเจดีย์นี้

ในวันนักขัตฤกษ์ ประชาชนทั่วไปและบรรดาตาลปวง (หมายถึงพระสงฆ์) จะมาชุมนุมกันในโบสถ์เพื่อทำพิธีสักการะรูปเคารพ  เนื่องจากเชื่อว่าการฆ่าสัตว์เป็นความชั่วอย่างหนึ่ง พวกเขาจึงไม่ถวายสิ่งใดที่มีชีวิตเลยแด่รูปเคารพ แต่จะถวายเพียงผลผลิตจากพื้นดิน เช่น ข้าว และผ้า  สิ่งนี้จะวางอยู่หน้ารูปเคารพชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะถวายต่อตาลปวงต่อไป นับเป็นสิ่งที่น่าเวทนายิ่งที่ได้เห็นกลุ่มคนผู้หลงผิดแสดงความเคารพทองก้อนหินนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจกับการแสดงออกอย่างจะแจ้งถึงการอุทิศตน ลักษณะที่ชาวสยามแสดงความนับถือและความเชื่อมั่นในศาสนาต่อรูปเคารพเหล่านั้น

ข้าพเจ้ารู้ว่ามีบางคนต้องการถอนตัวจากการบูชารูปเคารพ  โดยบอกว่าพวกเขายอมรับและเคารพพระเป็นเจ้าสูงสุดของสรรพสิ่งเพียงองค์เดียว แต่ที่พวกเขามีรูปหล่อนั้น เป็นเพียงเพื่อเก็บภาพและความทรงจำของคนที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่อย่างศักดิ์สิทธิ์ และขณะที่มองดูรูปปั้นนั้นจะกระตุ้นให้เราระลึกถึงคุณความดีและเจริญรอยตามคนเหล่านั้น

อันที่จริงคำตอบดังกล่าว เป็นคำตอบที่พระสงฆ์บางรูปมักให้กับชาวคริสต์ที่โจมตีเรื่องการบูชารูปเคารพอยู่แล้ว โดยอ้างว่ามิได้นิยมบูชารูปเคารพมากไปกว่าชาวคริสต์เลย แต่ตั้งรูปหล่อเหล่านั้นไว้สำหรับให้ประชาชนบูชาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าคำตอบที่พวกพระสงฆ์ให้แก่ชาวคริสต์นั้นไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะประการแรกประชาชนเองก็ไม่แน่ใจในเรื่องความเชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียวอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ได้กำหนดให้มีพิธีใดเจาะจงไว้ เพื่อเคารพพระองค์เลย แม้ในหนังสือพระคัมภีร์ของพวกเขาก็ไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ยิ่งกว่านั้นพิธีการที่พวกเขาแสดงต่อบรรดารูปเคารพก็จบสิ้นลงโดยสิ้นเชิงที่ตัวรูปเคารพนั่นเอง โดยมิได้ระลึกถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากรูปเคารพนั้น พวกเขาพากันสวดวิงวอนรูปเคารพเพื่อขอสิ่งที่ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า ตัวอย่างเช่นขอชีวิต สุขภาพที่ดีและสำเร็จในการงาน โดยไม่ระลึกถึงพระองค์เลย อันที่จริงพวกเขาบูชารูปเคารพ มิใช่ในฐานะเป็นรูปเคารพ แต่เป็นภาพของบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างหาก ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่แสดงความเคารพแก่ผู้ที่พวกเขารู้ดีว่ามิได้รู้จักพระเป็นเจ้าที่แท้จริง พระผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง เช่น ชาวสยาม ผู้หลงงมงายอยู่กับการบูชารูปเคารพก็ยังคงไม่ยอมรับนับถือในองค์พระเป็นเจ้า

นั่นคือสิ่งที่เราได้สังเกตเห็นจากการพบปะระหว่างผู้แทนชาวคริสต์และบรรดาตาลปวง ในที่นี้ข้าพเจ้าจะนำตัวอย่างหนึ่งมาเล่าคือ ขณะพำนักอยู่ที่เมืองตะนาวศรี พระสังฆราชแห่งเบริธได้ไปเยี่ยมพระสงฆ์ท้องถิ่นรูปหนึ่ง โดยมีชาวโปรตุเกสทำหน้าที่ล่ามให้ หลังจากแสดงความเคารพตามประเพณีแล้ว เพื่อมิให้เป็นที่แปลกใจ พระสังฆราชเริ่มชักถามพระสงฆ์รูปนั้นราวกับว่าท่านต้องการเรียนรู้บทบัญญัติของศาสนาพุทธ ซึ่งท่านได้รับคำตอบว่า ตามกฎที่เทพเจ้าบนสวรรค์อยู่ ๗ องค์ และดินแดนแสนสบายที่อำนวยความสุขให้อย่างล้นเหลือนั้น เป็นที่ซึ่งเราจะไปถึงได้ก็หลังจากตายไปแล้ว ข้างฝ่ายพระสังฆราชแห่งเบริธก็เสนอพระบัญญัติของพระเจ้าบ้าง โดยไม่หยุดโต้แย้งความพิสดารของเรื่องนั้น พระสงฆ์รูปนั้นรับฟังด้วยความประหลาดใจ และในที่สุดก็กล่าวว่า ตนเชื่อว่าศาสนาคริสต์ดีมาก และพระเป็นเจ้าของชาวคริสต์และของตนเป็นพี่น้องกัน พระเป็นเจ้าของเขาเป็นพี่คนโตและมีอำนาจเหนือกว่าน้องสุดท้อง ต่อมาเกิดความบาดหมางกันขึ้นระหว่างพี่น้องทั้งสอง ทำให้ต้องต่อสู้กันด้วยอาวุธ น้องสุดท้องพ่ายแพ้ ถูกจับและถูกลงโทษจนตาย ฐานที่ทำการต่อต้าน นี่คือความเพ้อฝันของพระสงฆ์ผู้ซึ่งได้เล่าให้เราฟัง ทำให้เห็นว่าคนเหล่านี้ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าที่แท้จริง

เราเชื่อแน่ว่าบ่อเกิดของเรื่องพิสดารนี้ อาจมาจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังกันมาว่าพระเยซูเจ้าของชาวคริสต์ ทรงถูกตรึงไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ พวกเขาจึงไม่รู้ได้อย่างแน่ชัด เมื่อบนแท่นบูชาของเรามีภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขนอยู่ พระสังฆราชแห่งเบริธฉวยโอกาสนั้นพูดถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ และค้านว่า ท่านอดประหลาดใจไม่ได้ว่าเขาสามารถเชื่อว่าศาสนาคริสต์ดีเช่นที่พูดในเวลาเดียวกันได้อย่างไร และเป็นการยากที่จะเชื่อว่าศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าเนื่องจากพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้นเป็นศาสนาที่ดี ถ้าพระเป็นเจ้าของชาวคริสต์สิ้นพระชนม์แล้ว    ก็ไม่มีพระองค์อยู่อีกแล้วหรือถ้าพระองค์ยังคงมีอยู่ ก็หมายถึงว่าพระองค์ได้พื้นคืนชีพแล้ว

ข้อคัดค้านนี้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อบรรยายเรื้องมังสาวตารขององค์พระเป็นเจ้าเท่านั้นและเพื่อ ทำให้พระสงฆ์รูปนั้นเข้าใจว่าพระเป็นเจ้าของชาวคริสต์เป็นมตะหรืออมตะ ขึ้นอยู่กับแก่นแท้สองอย่างที่รวมอยู่ในตัวของพระองค์  ข้าพเจ้าพูดว่าข้อคัดค้านนี้ทำให้พระสงฆ์รูปนั้นอึดอัดใจมาก ซึ่งเขาจะสามารถถอนตัวจากเรื่องนี้ได้ ก็ด้วยการทำให้การสนทนายุติลงด้วยตัวของเขาเอง และไล่ให้เราอ่านหนังสือที่กล่าวถึงศาสนาของพวกเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นพระสงฆ์ที่สำคัญที่สุดรูปหนึ่งของประเทศคือ เป็นเจ้าอาวาสผู้มีอำนาจเหนือพระสงฆ์ทั้งปวง และทำหน้าที่ปกครองวัด มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง มีการปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุคคลผู้รอบรู้ผู้ซึ่งสามารถตอบคำถามและแก้ข้อสงสัยของเราได้ เราตั้งปัญหาอื่นๆ  ขึ้นอีกและเพื่อถามว่าพวกเขาคิดว่าพระเป็นเจ้าอยู่กี่องค์ ปรากฏว่าไม่มีใครเลยที่ตอบว่ามีองค์เดียว บ้างตอบว่ามีเจ็ดองค์ บ้างตอบว่ามีเก้าองค์ ส่วนคนอื่นๆ ตอบจำนวนเลขที่แตกต่างออกไป สิ่งที่ได้พิสูจน์สิ่งที่เราพูดไปแล้วคือ ชาวสยามบูชาเคารพเพราะพวกเขาใช้พิธีการที่สมควรใช้กับพระเป็นเจ้าแท้จริงมาใช้กับรูปเคารพ ซึ่งเป็นผลงานจากมือของพวกเขาเอง และใช้กับคนธรรมดาผู้เป็นผลงานของพระเป็นเจ้า ที่มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งและมีเพียงองค์เดียว ขอให้พระองค์ทรงมีพระเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดรกาล

เนื่องจากชาวสยามเคร่งครัดในศาสนาของตนน้อยมาก จึงไม่ใส่ใจกับอนาคตของตน เราไม่อาจพูดได้เลยว่าพวกเขาเชื่อในความเป็นอมตะของดวงวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่รู้แน่อะไรเลย และก็ไม่พูดอีกเช่นกันว่าดวงวิญญาณแตกดับไปพร้อมกับร่างกาย แต่คิดว่าดวงวิญญาณยังคงล่องลอยอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงสนใจกับการจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตภายหน้า โดยการเก็บออมเงินและสมบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นจะเก็บซ่อนไว้ในที่ลับสุดยอด แม้สามีก็ไม่บอกให้ภรรยาทราบ พ่อไม่บอกลูก หรือเพื่อนไม่บอกผู้ที่ตนไว้ใจ ที่สุด เราไม่อาจบอกจำนวนเงินที่ซ่อนเร้นไว้อย่างบ้าคลั่งนี้ทุกๆ วันได้ ดังนั้น เงินก็ทวีขึ้นเป็นก้อนมหึมาและเพื่อป้องกันไม่ให้ใครค้นพบ พวกเขาก็กระพือความคิดที่แปลกอีกอย่างหนึ่งว่าการขโมยเงินทองของผู้ตายเป็นการกระทำทุราจาร  ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงทำได้

อย่างไรก็ตามถ้าชาวสยามสำรวจดูวันเวลาที่ผ่านไป จะพบว่าดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่นั้นไม่ต้องการทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ให้แต่อย่างใดหรือว่าลืมที่ซ่อนเพราะดวงวิญญาณไม่เคยหวนกลับมาเก็บได้เลย พวกเขาน่าจะเลือกเชื่อเรื่องนี้ เพราะการกระทำเช่นนี้ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างลำบากตลอดชีวิต และไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยหลังจากที่ได้ตายไปแล้ว ความคิดเรื่องการเก็บซ่อนสมบัตินี้ไม่เฉพาะมีอยู่ในหัวของคนธรรมดาเท่านั้น แม้ขุนนาง และพระบรมวงศานุวงศ์ก็มีด้วย เพียงแต่พวกเข่าจะไม่ซ่อนสมบัติไว้ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก แต่จะซ่อนไว้ที่ฐานเจดีย์สวยงามและใหญ่โต ได้สร้างไว้โดยมีตาลปวงคอยเฝ้าดูให้ เจดีย์นี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการเลือกสถานที่เก็บสมบัติที่ดีกว่า เราเห็นได้ว่าชาวสยามเชื่อว่า หลังจากตายไปแล้วจะเกิดใหม่อีก และเพราะต้องการเงินไว้จัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับสภาวะในอนาคต พวกเขาจึงไม่คิดว่าดวงวิญญาณแท้จริงซึ่งก็คือจิตใจนั้น หลังจากแยกออกจากร่างกายแล้ว ไม่ต้องการเครื่องอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตเหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับสัตว์

พระบัญญัติที่ศาสนาของชาวสยาม คือ เป็นกฎระเบียบประเพณีนั้น สอดคล้องกับกฎแห่งธรรมชาติ ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงจารึกไว้ในดวงวิญญาณของมนุษย์เพื่อใช้ประพฤติปฏิบัติ สรุปได้ ๒ ข้อ รวมความหมายของบทบัญญัติทั้งหมดไว้คือ หลีกเลี่ยงความชั่วและประพฤติดี สำหรับข้อแรก ชาวสยามเกลียดชังความอยุติธรรมไม่มุ่งร้ายใคร ไม่โหดร้ายหรือหน้าไหว้หลังหลอก ส่วนข้อที่สอง ชาวสยามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยบำเพ็ญทานกับคนทุกคน โดยมากกับคนต่างชาติ คนที่เดินผ่านไปมา สัตว์และคนตาย

จริงอยู่ชาวสยามเชื่อเรื่องโชคลาง พวกเขาไม่ทำร้ายสัตว์เลยนอกจากไม่ฆ่าแล้วยังเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างดีด้วย บางคนก่อนกินอาหารจะเก็บอาหารส่วนหนึ่งไว้สำหรับสัตว์เสมอ โดยวางบนโต๊ะที่เตรียมไว้อย่างสะอาด  ซึ่งนกจะมาจิกอาหารกินได้อย่างเสรี

บรรดาตาลปวงซึ่งหมายถึง พระสงฆ์รู้ถึงความใจบุญสุนทานของชาวสยามมากกว่าใครอื่น แม้จะยากจน แต่พวกเขาก็เป็นผู้ที่ได้รับการแจกจ่ายทานในแต่ละวันอย่างอุดมสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นสิ่งของที่มีอยู่ภายในประเทศ เพื่อที่ว่าส่วนเหลือจะได้ให้แก่ผู้อื่นต่อไป ระหว่างเดินทางจากสยามสู่เมืองตะนาวศรี ขณะที่ข้าพเจ้าเดินผ่านย่านกุฏิของเหล่าตาลปวง ข้าพเจ้าได้รู้สึกถึงความใจบุญของพวกเขา ซึ่งได้ให้ที่พักและเลี้ยงดูข้าพเจ้าด้วยของกำนัลธรรมดาคือข้าว ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ ในการเก็บทาน พวกเขาจะส่งตาลปวงหนุ่มๆ ไปรับจากประตูบ้านหนึ่งไปยังอีกประตูบ้านหนึ่ง ส่วนในวันนักขฤกษ์ประชาชนจะนำอาหารมาถวายด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ระหว่างเกิดน้ำท่วมใหญ่เราได้อพยพไปอยู่บนเนิน ซึ่งมีวัด มีชื่อตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวง ๑ ลิเยอ เราได้เห็นการแก่งแย่งครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของนักแสวงบุญ ซึ่งต่างก็นำของถวายมากมายไปถวายให้โบสถ์ รูปเคารพและบรรดาตาลปวงผู้ซึ่งมิเคยถูกลืมให้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ในบรรดาสิ่งที่นักแสวงบุญที่ดีเหล่านี้ได้พบในโบสถ์แห่งนี้ มีรอยฝ่าเท้ามนุษย์ขนาดใหญ่ ผิดปกติ ยาว ๓ ปิเยด์ และกว้าง ๑๕ นิ้วด้วย พวกเขาบอกว่าฝ่าเท้าที่ประทับรอยไว้บนหินก้อนหนึ่งซึ่งเก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งนี้ เป็นฝ่าเท้ามนุษย์คนแรกของโลก จากการก้าวเพียงก้าวเดียว มนุษย์ผู้นี้ก็สามารถยกเท้าอีกข้างหนึ่งไปไว้ยังภูเขาสูงแห่งหนึ่งในเกาะศรีลังกาได้ เพราะชาวสยามเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งสามารถถวางเท้า ๒ ข้าง ไว้บนภูเขา ๒ ลูกที่อยู่ห่างกันมากกว่า ๑,๐๐๐ ลิเยอได้ในเวลาเดียวกัน จึงไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมพวกเขาจึงมีเจดีย์สูง ๔๐ ฟุตอยู่มากมาย  เราได้เห็นนักแสวงบุญผู้จงรักภักดีทุกคน นำของถวายไปบูชารอยฝ่าเท้ามนุษย์คนแรก ซึ่งหลังจากถวายเสด็จแล้วสิ่งของเหล่านี้จะตกเป็นของบรรดาตาลปวงทันทีเพื่อนำไปใช้ต่อไป

ชาวสยามบำเพ็ญทานให้แก่ผู้ตายด้วย โดยใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายมากกว่าการจัดงานฝังศพเสียอีก บางครั่งพวกเขาใช้เวลา ๑ ปีเต็มในการเตรียมงานและตกแต่งสถานที่ที่เสมอสมสำหรับเก็บเถ้ากระดูกของผู้ตาย  พวกเขามีความสันทัดเป็นพิเศษในการตกแต่งศพด้วยเครื่องหอม

บริเวณหลุมศพของชาวสยามจะมีหอสี่เหลี่ยมทำด้วยไม้สน และตกแต่งด้วยแผ่นกระดาษหนาหลากสีและสิ่งจำลองที่ดึงดูดสายตาอยู่รายรอบ พวกเขาจะวางดอกไม้ไฟจำนวนหนึ่งไว้บนหอนี้ เมื่อทุกอย่างพร้อมตาลปวงส่วนหนึ่งที่มาร่วมในพิธีจะตรงไปยังหลุมฝังศพ อีกส่วนหนึ่งไปที่บ้านเพื่อรับศพ ซึ่งบรรจุอยู่ในโลงหรือหีบสีทองบนหีบศพมีปิรามิดประดับประดาด้วยไม้สีทองเช่นกัน ตั้งอยู่ บางครั้งหีบจะมีลักษณะอื่น เราเคยเห็นหีบศพของตาลปวงมีชื่อรูปหนึ่งซึ่งศพถูกเก็บรักษาไว้ ๑ ปีเต็ม เป็นรูปมังกรขนาดใหญ่มหึมา จนกระทั่งคนๆ หนึ่งสามารถเข้าไปในปากมังกรเพื่อทำให้เครื่องจักรปิดเปิดได้ เมื่อศพมาถึงเขาจะยกศพออกจากหีบวางไว้บนพื้น บรรดาตาลปวงที่เดินวนรอบศพหลายรอบ ระหว่างที่ศพถูกเผาอยู่ มีการจุดดอกไม้ไม้ไฟผสมผสานกับเสียงอึกทึกครึกโครมของดนตรี เมื่อศพถูกเผาสูญสลายไปแล้ว  เถ้ากระดูกจะรวบรวมไส่ไว้ใต้ปิรามิด ชาวสยามมีพิธีการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดบรรยากาศเศร้าสลดของการปลงศพให้น้อยลง และทำให้ผู้มาร่วมงานเบิกบานใจได้โดยถือว่าการปลงศพเป็นเพียงการแสดงที่น่าดูอย่างหนึ่ง

ก่อนจบบทนี้ ข้าพเจ้าจะให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับตาลปวง  ขนมประเพณีและความแตกต่างของชาวสยาม

ชาวโปรตุเกสตั้งชื่อพระสงฆ์สยามว่า ตาลปวง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยนุ่งห่มสิ่งใดเลยนอกจากผ้าฝ้ายย้อมสีเหลือง ลักษณะเครื่องแต่งกายคล้ายกับของประชาชนทั่วไป พวกเขาใช้ผ้าพาดสีแดงซึ่งพาดจากไหล่ซ้ายยาวลงถึงสี่ข้างด้านขวาแทนที่จะใส่เสื้อคลุม ตาลปวงไม่สวมหมวกและจะเดินเท้าเปล่าโดยถือพัดทำด้วยใบปาล์มปิดศีรษะเพื่อกันความร้อนแรงของแสงแดด

ตาลปวงทั้งหมดอยู่กันโดยมีตาลปวงรูปหนึ่งเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ควบคุมดูแล โดยบริโภคอาหารได้เพียงวันละครั้ง แต่การกินหมากซึ่งเราได้บรรยายไว้แล้วในบทแรกๆ จะช่วยได้มาก เพราะหมากให้พละกำลังมากมายแก่ผู้บริโภค คำสอนที่บรรดาตาลปวงใช้โน้มน้าวจิตใจประชาชนบ่อยที่สุด มีว่าหนทางที่สั้นและแน่นอนที่สุดในการก้าวไปสู่สภาพที่เปี่ยมด้วยความสุขในชีวิตหน้าคือการทำบุญกับตาลปวง อันที่จริงบทบัญญัตินี้ถูกแทรกอยู่แล้ว ในตัวบทกฎหมายซึ่งบรรดาตาลปวงเป็นผู้ตีความ ผู้ที่เชื่อว่ายิ่งบริจาคสิ่งของเงินทองให้แก่คนเหล่านี้มากเท่าไหร่จะได้รับความสุขอย่างล้นเหลือในภพหน้ามากเท่านั้น ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญกับตาลปวงเท่าที่จะสามารถทำได้ตามฐานะของตน

ในขณะที่สวมเครื่องแต่งกายตามแบบบรรพชิตตาลปวงจะต้องรักษาความเป็นอนิจจังและตัดขาดจากการแต่งงานเมื่อรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะลาสิกาขาบทและแต่งงานได้ เพราะนับจากถอดเครื่องแต่งกายสีเหลืองออก พวกเขาก็เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ต่างๆ และในประเทศนี้เองที่เครื่องนุ่มหุ่มทำให้คนเป็นตาลปวงได้

ตาลปวงจะสวดมนต์ร่วมกันนับแต่เช้าตรู่และตอนเย็น พวกเขาจะมาชุมนุมกันตามเสียงของระฆังเพื่อสวดและบำเพ็ญภาวนา มีบทสวดหลายช่วงที่มักกล่าวถึงบทบัญญัติสำคัญๆ  ซ้ำๆ  ซากๆ  คือ ข้อหนึ่งห้ามฆ่าสัตว์ ข้อสองทำบุญกับตาลปวงเพื่อส่งผลทวีเพิ่มขึ้นในภพหน้า เพราะอ้างว่ามีผู้ทำบุญกับตนอยู่เสมอบรรดาตาลปวงทั้งหลายจึงแสดงตนเป็นผู้เที่ยงธรรมผู้ปรารถนาจะปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นกัน พวกเขาจะตกแต่งห้องโค้งที่อยู่ส่วนหน้าของกุฎีอย่างสะอาดหมดจดสำหรับต้อนรับทุกคนที่มาเยือน รวมทั้งแสดงความโอบอ้อมอารีและเทศนาสั่งสอนสิ่งที่ตนเห็นว่าดีที่สุดด้วยท่าทีถ่อมตนและเลื่อมใสในศาสนา

ชาวสยามซึ่งมักชื่นชมกับสรรพสิ่งตามที่ปรากฏภายนอก จะให้ความเคารพนับถือตาลปวงมากและถือว่าเป็นผู้ที่จะส่งผลบุญที่ตนทำในชาตินี้ให้หลังจากที่ตนตายไปแล้ว ความเคารพนับถือที่ชาวสยามมีต่อตาลปวงอย่างมากมายนี้ ทำให้พวกเขามองข้ามความวุ่นวายที่แฝงอยู่ในหมู่ตาลปวงนั้น ซึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้านของพวกเขานั่นเอง ด้วยเหตุนี้ศาสนิกชนชาวสยามจึงต้องตกอยู่ในสถานที่ไม่รู้อะไรเลย และในที่สุดก็นำทุกศาสนามาปะปนกัน และปฏิบัติกิจทางศาสนาทั้งในโบสถ์ที่ประดิษฐานรูปเคารพ และโบสถ์ของชาวคริสต์อย่างเฉื่อยชา

ตาลปวงเหล่านี้ บ้างเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เพียงเพื่อมีชีวิตอยู่ต่างหาก บ้างมีหน้าที่เกี่ยวกับศาสนิกชน บ้างก็ดูแลวัดและทำพิธีการทางศาสนา  คนเหล่านี้ซึ่งเรียกตนเองว่า  สงฆ์  เป็นชนชั้นสูงสุดในหมู่ชนทั้งหมด และอยู่ใต้อำนาจกฎหมายของสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือมาก สงฆ์รูปนี้เป็นผู้ปกครองพระอารามหลวงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวง ๒ ลิเยอ  อีกทั้งเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงเคารพนับถือมาก จนได้รับเกียรติให้นั่งสนทนาใกล้พระองค์ได้ และพระองค์ต้องก้มพระเศียรให้นี่คืออภิสิทธิ์ของสงฆ์ที่ดำรงตำแหน่งนี้ เพราะแม้ขุนนางผู้ใหญ่ทุกคนของรัฐก็ต้องคุกเข่าและก้มศีรษะติดพื้นเมื่อพูดกับพระเจ้าแผนดิน ชาวสยามไม่ว่าจะเป็นตาลปวงหรือประชาชนธรรมดาล้วนไม่เคร่งครัดกับศาสนาของตนนัก โดยถือว่าศาสนาก็คือการเชื่อโชคลางที่พวกเขาคุ้นเคยมาแต่กำเนิด อย่างไรก็ตามเราก็ไม่อาจปฎิเสธในแง่หนึ่งว่า พวกเขามีสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างหนึ่งที่ยากในการทำให้ต้องละทิ้งสิ่งที่ดีกว่าได้ ตามที่ข้าพเจ้าพูดไม่ใช่ว่าพวกเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขายอมรับมากหรือคิดว่าศักดิ์สิทธิ์และแน่นอนว่าสิ่งที่เราเสนอให้ ดังที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ว่าศาสนาหลายศาสนาแม้จะแตกต่างกันหรือตรงกันข้าม ในแง่ของคติธรรมก็อาจดีเท่าเทียมกันได้ และถ้าพวกเขาเอนเอียงไปทางศาสนาของตนมากกว่า นั่นเป็นเพราะความง่ายของศาสนานั้น กล่าวคือศาสนานั้นไม่ระบุไว้ว่าต้องประณามหรือปฏิเสธศาสนาอื่น ตรงกันข้ามถ้าพวกเขาเกลียดชังศาสนาคริสต์ เป็นเพราะศาสนาคริสต์ตั้งกฎเกณฑ์ที่แน่นอนไว้ว่า  มีพระเป็นเจ้าองค์เดียว และศาสนาแท้มีแต่ศาสนาเดียว

ผู้ที่พยายามชักจูงชาวสยามมาสู่ศรัทธาของเรา จะต้องไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท รวมทั้งไม่กล่าวโจมตีความคิดของพวกเขาโดยตรง แต่ต้องปรับตัวเข้ากับพวกเขา  เราเพียงแต่เสนอข้อดีของศาสนาคริสต์เหนือทุกนิยามที่พวกเขารู้จัก และอธิบายถึงความเลิศล้ำของเป้าหมาย คือ ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบัญญัติ ความมหัศจรรย์ที่มาพร้อมกับการประกาศศาสนาสู่โลก รวมทั้งข้อพิสูจน์ทั้งหมดที่ทำให้ทุกคนที่แสวงหาสัจธรรมยอมรับว่าศาสนาคริสต์คือผลงานของพระเป็นเจ้าองค์เดียวที่สามารถประทานศาสนาที่สมบูรณ์ยิ่งแก่มวลมนุษย์ กล่าวสรุป คือ ชาวสยามพากันพอใจการประกาศความดีงามของพระเจ้าผู้สร้างสรรค์ของเรา แต่ไม่ยอมรับอย่างง่ายๆ  ว่าการเชื่อโชคลางนั้นเป็นสิ่งที่ผิด และเมื่อเริ่มรู้สึกว่าท่านทำให้พวกเขาตะขิดตะขวงใจในความเชื่อนั้น พวกเขาก็จะไม่ฟังท่านอีกต่อไป ขอให้พระเป็นเจ้าทรงส่องสว่างให้กับชีวิตของพวกเขาด้วยพระเมตตากรุณาของพระองค์ เพื่อว่าเมื่อกลับใจเปลี่ยนศาสนาแล้ว พวกเขาจะละทิ้งการบูชารูปเคารพอย่างผิดๆ และหันมาสนใจรับใช้ และนับถือพระเป็นเจ้าแท้จริงเพียงพระองค์เดียว.

 

จากหนังสือจดหมายเหตุการณ์เดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริธ
ประมุขมิสซัง สู่อาณาจักรโคจินจีน
กรมศิลปกรจัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓o